ข้อมูลที่รวบรวมโดย มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปคินส์ ชี้ว่า สหรัฐอเมริกา มี ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวัน ทุบสถิติโลกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (3 ม.ค.) โดยพบผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มทะลุ 1 ล้านคน คือ 1,082,549 ราย ในขณะที่ ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วยังคงลุกลามทั่วประเทศ และกลายเป็นสายพันธุ์ของการแพร่ระบาดแล้วในปัจจุบัน
ข้อมูล ณ วันนี้ (5 ม.ค.) ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในสหรัฐพุ่งทะลุ 58 ล้านคน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 8.5 แสนคน นับเป็นสถิติอันดับ1 ของโลกทั้งในแง่ผู้ติดเชื้อสะสมและผู้เสียชีวิตสะสม
รายงานข่าวระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อรายวันที่พุ่งสูงนี้อาจเป็นผลมาจากการส่งรายงานผู้ติดเชื้อล่าช้าจากช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา โดยหลายรัฐในสหรัฐ ไม่ได้รายงานยอดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 64 และอีกหลายรัฐไม่ได้ส่งรายงานยอดผู้ติดเชื้อช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งหมายความว่า มีการนำเอาจำนวนผู้ติดเชื้อในวันก่อนหน้ามานับรวมด้วย อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 3 มกราคม ยอดผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 7 วันในสหรัฐฯ ก็อยู่ที่เกือบ 5 แสนคน ซึ่งยังถือว่าสูงที่สุดในโลก
ด้าน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐ เปิดเผยวันนี้ (5 ม.ค.) ว่า ณ วันที่ 1 ม.ค. จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในสหรัฐมีสัดส่วนราว 95.4% ของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมดในประเทศ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตามีสัดส่วนเพียง 4.6% นั่นหมายความว่า โอมิครอนนั้นได้ขยับขึ้นมาเป็นสายพันธุ์หลักและใกล้ยึดสหรัฐครบ 100% แล้ว หลังจากที่เริ่มมีการตรวจพบสายพันธุ์ดังกล่าวเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 ธ.ค.2564
ทั้งนี้ ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน เริ่มแซงผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตามากขึ้นเรื่อย ๆ
ล่าสุด ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้เรียกร้องให้ชาวอเมริกันที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน รีบเข้ารับการฉีดวัคซีน ส่วนผู้ที่ได้รับครบโดสแล้ว ให้เร่งฉีดเข็มกระตุ้น โดยย้ำข้อมูลล่าสุดว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
นอกจากนี้ ผลการศึกษาเบื้องต้น ยังพบว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิดจะมีประสิทธิภาพลดลง เมื่อเจอกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์เดลตา และสายพันธุ์อื่นๆ แต่การฉีดวัคซีน 3 เข็ม จะช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้
รายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันอังคาร (4 ม.ค.) ทาง CDC ได้ออกคำแนะนำฉบับใหม่ระบุว่า ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของไฟเซอร์/บิออนเทคเข็มที่ 3 สามารถเข้ารับการฉีดโดยมีระยะเวลาห่างจากเข็มที่ 2 เป็นเวลา 5 เดือน เป็นการร่นระยะเวลาเร็วขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ให้ห่าง 6 เดือน
แต่สำหรับวัคซีนของโมเดอร์นา CDC แนะนำว่าผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จะต้องรอเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนหลังจากที่ฉีดเข็มที่ 2 ขณะที่วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 (เข็มกระตุ้น) จะต้องรอเป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือนหลังจากที่ฉีดเข็มแรก
นอกจากนี้ CDC ยังได้แนะนำให้เด็กที่มีอายุ 5-11 ปีที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ของไฟเซอร์ โดยมีระยะเวลาห่างจากเข็มที่ 2 เป็นเวลา 28 วัน