“เน็ตฟลิกซ์” ปลดฟ้าผ่าพนักงานอีก 300 ชีวิตเซ่นรายได้วูบ-สมาชิกลด
เน็ตฟลิกซ์ประกาศปลดพนักงานอีกราว 300 คนหลังจากที่ปลดไปแล้ว 150 คนก่อนหน้านี้ หวังลดค่าใช้จ่ายรับมือรายได้หด จำนวนสมาชิกลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี
เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผู้ให้ บริการสตรีมมิง เนื้อหาสาระและความบันเทิงแบบต้องเป็นสมาชิก ประกาศ ปลดพนักงาน อีกราว 300 คน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 3% ของพนักงานทั้งหมด ซึ่งประกาศดังกล่าวมีขึ้นประมาณ 1 เดือนหลังจากที่เน็ตฟลิกซ์ได้ประกาศปลดพนักงานประมาณ 150 ตำแหน่งก่อนหน้านี้
แถลงการณ์ของเน็ตฟลิกซ์ซึ่งเผยแพร่วานนี้ (23 มิ.ย.) ระบุว่า บริษัทเสียใจที่ต้องปลดพนักงานอีกประมาณ 300 คน ขณะที่ยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างมากในธุรกิจนี้ เน็ตฟลิกซ์จำเป็นต้องปลดพนักงานซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทสอดคล้องกับรายได้ที่ชะลอการขยายตัวลง
“ เรารู้สึกขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาทำให้กับเน็ตฟลิกซ์ และกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อสนับสนุนพวกเขาให้ผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงที่ยากลำบากนี้"
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เน็ตฟลิกซ์ได้เตือนเหล่านักลงทุนว่า บริษัทจะปรับลดการเพิ่มรายจ่ายในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยนายสเปนเซอร์ นูแมนน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของเน็ตฟลิกซ์ระบุระหว่างการรายงานผลประกอบการของบริษัทในเดือนเม.ย.ว่า เน็ตฟลิกซ์กำลังพยายามที่จะลดรายจ่ายลงอย่างรอบคอบเพื่อให้สะท้อนความเป็นจริงของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีแผนจะลงทุนครั้งใหญ่ รวมถึงงบผลิตคอนเทนต์ประมาณ 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ เน็ตฟลิกซ์กำลังดำเนินการเพื่อปราบปรามการแชร์รหัสผ่าน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท โดยนอกเหนือจากครัวเรือนที่จ่ายค่าสมาชิกให้กับเน็ตฟลิกซ์ 222 ล้านรายแล้ว ยังมีอีกกว่า 100 ล้านครัวเรือนที่ใช้บริการเน็ตฟลิกซ์ผ่านการแชร์บัญชีร่วมกัน
ความพยายามเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่จำนวนสมาชิกผู้ใช้บริการของเน็ตฟลิกซ์ ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา และราคาหุ้นของบริษัทสตรีมมิงยักษ์ใหญ่รายนี้ ก็ลดลงเกือบ 20% โดยบริษัทแถลงว่า สมาชิกลดลงกว่า 2 แสนคนทั่วโลกในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และยังคาดว่า จะลดลงอีกกว่า 2 ล้านคนในช่วงไตรมาสปัจจุบันจนถึงเดือนกรกฎาคม
ในจดหมายของเน็ตฟลิกซ์ที่มีไปยังนักลงทุน บริษัทเผยว่า ธุรกิจสตรีมมิงยังมีชัยในระยะยาว แต่การเติบโตของรายได้ชะลอตัวลงอย่างมาก แม้ชื่อของเน็ตฟลิกซ์จะเป็นที่นิยมทั่วโลก แต่เนื่องจากบริษัทเจาะกลุ่มผู้บริโภคในครัวเรือนค่อนข้างสูง ขณะที่ยังมีการแชร์บัญชีร่วมกันในครัวเรือนเป็นจำนวนมาก เมื่อรวมกับการแข่งขันในตลาดนี้ที่สูงขึ้น จึงทำให้เกิดความปั่นป่วนในการเติบโตของรายได้บริษัท