เปิดฉากทริปเดินทางเยือนไต้หวันของ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา อย่างเป็นทางการ โดยมาถึงสนามบินไทเปซงซาน เวลา 22:44 น. วันที่ 2 ส.ค. ตามเวลาท้องถิ่น โดยเครื่องบินโบอิ้ง C-40 C ,SPAR19 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เรียกได้ว่าเป็นก้าวใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ ทำให้ทั่วโลกต่างจับตา ท่ามกลางท่าทีอันแข็งกร้าวจากจีน
การเยือนไต้หวันของผู้นำอันดับ 3 ของสหรัฐฯ เเนนซี เพโลซี ถูกมองว่ามีนัยสำคัญทางการเมืองระหว่างประเทศ เเละเสี่ยงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเมินเฉยต่อคำขู่ของทางการจีนว่า หากประธานรัฐสภาสหรัฐฯ เหยียบเท้าลงเกาะไต้หวันเมื่อไหร่ สหรัฐฯ จะต้องได้รับผลที่ตามมา
ขณะที่ เเนนซี เพโลซี ได้โพสต์ในทวิตเตอร์หลังถึงกรุงไทเปว่า “การเยือนไต้หวันของคณะสมาชิกรัฐสภาเป็นการตอกย้ำถึงคำยึดมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลงของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนประชาธิปไตยของไต้หวัน”
วันนี้ฐานเศรษฐกิจจะพาไปรู้จัก แนนซี เพโลซี ประธานสภาหญิงคนแรกของสหรัฐฯ เรื่องราวของเธอน่าสนใจอย่างไร? เเละฉายา “Crazy Nancy” มีที่มาอย่างไร
แนนซี เพโลซี คือใคร ?
แนนซี แพทริเซีย ดีอาเลซานโดร เพโลซี หรือ แนนซี เพโลซี เกิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1940 ที่เมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์
เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวและน้องเล็กสุดในบรรดาพี่ชาย 6 คน พ่อของเธอเคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีของเมืองบัลติมอร์คนที่ 40 ส่วนพี่ชายนั้นเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองบัลติมอร์คนที่ 43 อีกด้วย
เพโลซี สำเร็จการศึกษาจาก Trinity Washington University ในสาขารัฐศาสตร์ เพโลซี เริ่มต้นในวงการการ โดยไปช่วยแคมเปญทางการเมืองของคุณพ่อจากนั้นเธอได้เข้าร่วมกับพรรคเดโมแครต
ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา แต่ก่อนจะได้รับตำแหน่งในสภาคองเกรสที่ 110 เพโลซีมีตำแหน่งเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้าน (Minority Leader) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ถึงปี ค.ศ. 2007 มีตำแหน่งระหว่างสภาคองเกรสที่ 107, สภาคองเกรสที่ 108 และสภาคองเกรสที่ 109
เมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2007 เพโลซีได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และได้รับเลือกอีกครั้งเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2019 ในสภาคองเกรสสมัยที่ 116 โดยเอาชนะ เควิน แม็คคาธี่ จากพรรครีพับลิกันไป 220-193 คะแนน
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 เพโลซีเป็นผู้แทนจากเขตเลือกตั้งที่ 8 ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ในบริเวณที่ประกอบด้วยเนื้อที่สี่ในห้าของซานฟรานซิสโก (เดิมเป็นเขตเลือกตั้งที่ 5 ระหว่างสามสมัยแรกที่ได้รับเลือก) ต่อมาในปี 2007 เพโลซี ก็ก้าวสู่ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร และดำรงตำแหน่งจนถึงปี 2011 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นประธานาธิบดี ที่มาจากพรรคริพับลิกัน พรรคฝั่งตรงข้ามของเดโมแครต ปี 2019 เธอก็ได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง ซึ่งตรงกับสมัยที่คุณดอนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี
เพโลซีเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกที่เป็นสตรี และเป็นชาวแคลิฟอร์เนียคนแรกและชาวอิตาเลียน-อเมริกันคนแรกที่ได้รับตำแหน่ง และเป็นคนที่สองจากรัฐทางตะวันตกของเทือกเขาร็อกกี้ที่ได้รับตำแหน่ง (คนแรกคือทอม โฟลีย์ (Tom Foley) จาก รัฐวอชิงตัน)
ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎรเพโลซีมีสิทธิเป็นลำดับที่สองรองจากรองประธานาธิบดีในการเป็นประธานาธิบดีในกรณีที่จำเป็น ฉะนั้นเพโลซีจึงเป็นสตรีที่มีตำแหน่งสูงสุดในประวัติศาสตร์การปกครองของสหรัฐอเมริกา และเป็นสุภาพสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐที่สามารถกลับมาเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งได้
เพโลซี ไม่ได้ทรงอิทธิพลเฉพาะเรื่องธุรกิจและการเมืองเท่านั้น เเต่ยังมีบทบาทในเรื่องของแฟชั่น โดยเฉพาะแบรนด์ Max Mara แฟชั่นอิตาเลียนแบรนด์โปรด ยกตัวอย่างเช่น เสื้อโค้ทสีส้มอิฐ รุ่น GLAMIS จากแบรนด์ Max Mara ซึ่งนำมาขายครั้งแรก เมื่อปี 2557 เพโลซีสวมใส่หลังการหารืออันเผ็ดร้อนกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงปี 2561 เรียกเสียงฮือฮาบนสื่อสังคมออนไลน์ กระทั่งเจ้าของแบรนด์เสื้อนำโค้ทรุ่นนี้กลับมาขายอีกครั้ง
“แนนซี เพโลซี” “ยัยตัวแสบ” ของโดนัลด์ ทรัมป์
แนนซี เพโลซี ถูกมองว่าไม่เคยเกรงกลัวเเละไม่เคยก้มหัวให้ใคร อาจะเพราะเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว มีพ่อเคยนั่งเก้าอี้นายกเทศมนตรีในฐานะอิตาเลียน-อเมริกันคนแรกของบัลติมอร์ เธอน่าจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเอาชนะเพศตรงข้ามที่เข้มแข็ง อย่าง "โดนัลด์ ทรัมป์"
ขั้วการเมืองของเพโลซีตรงข้ามกับโดนัลด์ ทรัมป์ คงไม่เเปลกที่เธอจะถูกเรียกว่าเปรียบเหมือนผู้นำหญิงที่พร้อมจะถ่วงดุลอำนาจของทรัมป์ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น เธอปฏิเสธการอนุมัติเงินงบประมาณการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐของทรัมป์
คอยตามจี้ทรัมป์พร้อมกับคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับเงินภาษีและคดีความสัมพันธ์กับรัสเซีย และการเสนอร่างกฎหมายปลดทรัมป์ ครั้งนั้นแนนซี เพโลซี เฉียบคมและหนักแน่น แต่งชุดดำในวันลงคะแนนถอดถอนด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมจริงจัง
เรียกได้ว่าแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำเอาทรัมป์เกือบตั้งตัวไม่ทันกันเลยทีเดียว จนกระทั่งเขาได้ตั้งฉายาให้กับเธอว่า “Crazy Nancy”
ขอบคุณภาพ : AP , twitter : Nancy Pelosi
ข้อมูล : วิกิพีเดีย