เดอะ โคเรีย เฮอรัลด์ สื่อท้องถิ่นเกาหลีใต้รายงานว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ อาจจะนำ ระบบขออนุญาตการเดินทางผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่รู้จักกันในนาม K-ETA (ในชื่อเต็มว่า Korea Electronic Travel Authorization) กลับมาใช้กับการเดินทางเข้าเกาหลีใต้ทาง เกาะเชจู (Jeju) อีกครั้ง หลังเกิดกรณีนักท่องเที่ยวไทยลักลอบพำนักเกินกว่ากำหนดและทำงานในเกาหลีใต้แบบผิดกฎหมายจำนวนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ โฆษกของกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ได้ออกมายืนยันข่าวดังกล่าวโดยระบุว่ารัฐบาลกำลังมีแผนจะนำระบบ K-ETA มาใช้สำหรับการเดินทางเข้าเกาะเชจู ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ในขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการเก็บรวบรวมความคิดเห็นรอบด้านจากตัวแทนภาคส่วนต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ก่อนที่จะตัดสินใจในขั้นสุดท้าย
เกาหลีใต้ได้นำระบบขออนุญาตการเดินทางผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (K-ETA) สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับการเดินทางมายังเกาหลีใต้ในระยะสั้น มาใช้ตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว (2564) ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องกรอกแบบฟอร์ม K-ETA ทางออนไลน์และขอรับอนุญาตการเดินทาง ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางมายังเกาหลีใต้ แต่ระบบดังกล่าวนี้ ได้รับการยกเว้นสำหรับผู้ที่เดินทางมายังเกาะเชจูตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา กระทั่งเร็ว ๆนี้ มีการพิจารณาทบทวนว่าอาจต้องนำระบบ K-ETA กลับมาใช้กับเกาะเชจูอีกครั้งหลังจากที่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมาก ใช้ช่องโหว่ของการไม่ต้องผ่านการคัดกรองของระบบ K-ETA ลักลอบพำนักในเกาหลีใต้เกินกว่ากำหนดและแอบทำงานโดยผิดกฎหมาย กลายเป็นกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า “ผีน้อย” ซึ่งต้องหลบๆซ่อนๆ ใช้ชีวิตและลักลอบทำงานอยู่ที่นั่น
จากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของเกาหลีใต้พบว่า เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวชาวไทย 280 คนเดินทางเข้าเกาหลีใต้ และในจำนวนนี้มี 55 คนหลบหนีหายไป เป็นที่ชัดเจนว่า ผู้ลักลอบพำนักในเกาหลีใต้โดยผิดกฎหมายจำนวนมากนั้น เลือกใช้เกาะเชจูเป็นประตูในการเข้าสู่ประเทศเกาหลีใต้เพราะไม่ต้องถูกคัดกรองผ่านระบบ K-ETA ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้จ้องตรวจสอบนักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ
ข้อมูลของทางการเกาหลีใต้ยังระบุด้วยว่า นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีคนไทยพำนักอยู่ในเกาหลีใต้ประมาณ 151,468 คน และในจำนวนนี้ราว 180,000 คนเป็น “ผีน้อย” ที่ลักลอบพำนักและทำงานในเกาหลีใต้แบบผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ประมาณ 80% ของคนไทยในเกาหลีใต้ถือวีซ่านักท่องเที่ยว ล่าสุดวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7 ส.ค.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 417 คนจากทั้งหมด 697 คนที่มาถึงเกาหลีใต้ตั้งแต่วันที่ 2-5 ส.ค.ที่ผ่านมา ถูกปฏิเสธการเข้าเมืองเนื่องจากพวกเขามีวัตถุประสงค์การเดินทางที่ไม่ชัดเจน นอกจากนี้ ในจำนวนผู้ที่ถูกปฏิเสธการเข้าเมืองครั้งนี้ มี 367 คนเคยถูกปฏิเสธการเข้าเกาหลีใต้ผ่านระบบ K-ETA มาก่อนแล้ว
ทางด้าน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล (Royal Thai Embassy, Seoul) ได้โพสต์ทางเพจในเฟซบุ๊กเผยแพร่เอกสาร “ข้อควรรู้ก่อนเดินทางไปท่องเที่ยวเกาหลีใต้” สำหรับชาวไทย เผยแพร่ ณ วันที่ 9 ส.ค. มีใจความเตือนเกี่ยวกับการเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้เอาไว้ว่า
นับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2565 เป็นต้นมา ผู้ถือหนังสือเดินทางบุคคลธรรมดาของไทย สามารถเดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา อย่างไรก็ดี ผู้เดินทางต้องดำเนินการตามแนวปฏิบัติของทางการเกาหลีใต้ล่วงหน้าก่อนเดินทางไปเกาหลีใต้ ดังนี้
1. ขอรับเอกสาร Korea Electronic Travel Authorization (K-ETA) ซึ่งต้องกรอกแบบฟอร์มสมัครของ K-ETA ของกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ ทางระบบออนไลน์ https://www.k-eta.go.kr/portal/apply/index.do และต้องรอให้ได้รับอนุมัติก่อน จึงจะเช็คอินเพื่อขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไปเกาหลีใต้
2. ขอ Q-Code ทางระบบออนไลน์ โดยผู้เดินทางต้องกรอกรายละเอียดการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตลอดจนผลตรวจ แบบATK ที่ผลออกไม่เกิน 24 ชม. หรือแบบ RT-PCR ผลไม่เกิน 48 ชม. ก่อนขึ้นเครื่อง โดยผู้ที่ได้รับ Q-Code ถึงจะสามารถเข้าเกาหลีใต้ได้โดยสะดวก ไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มอีก
นอกจากนี้ ยังมีหมายเหตุว่า
สถานทูตยังระบุว่า สำหรับคนไทยที่ได้รับอนุมัติจากตม.ให้เดินทางเข้าเกาหลีใต้ได้แล้ว แต่ต่อมากระทำผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ดังสาเหตุต่อไปนี้ จะได้รับโทษ ดังนี้
ข้อมูลอ้างอิง
Why is S. Korea trying to strengthen border controls in Jeju?