นายแอนดี สโตน โฆษก บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เฟซบุ๊ก และ อินสตาแกรม เปิดเผยวานนี้ (22 พ.ย.) ว่า จากที่มีรายงานของสื่อออกมาระบุว่า นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเมตา กำลังจะลาออกจากตำแหน่งในปีหน้านั้น ขอยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
โฆษกของเมตา ทวีตข้อความเมื่อวันอังคาร (22 พ.ย.) หลังมีรายงานข่าวเผยแพร่โดยเว็บไซต์ข่าว The Leak ในช่วงเช้าวันเดียวกันที่ระบุว่า นายซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตา จะลาออกจากตำแหน่งในปีหน้า (2566) โดย The Leak อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าววงในที่ไม่ประสงค์ออกนาม
อย่างไรก็ตาม หลังข่าวดังกล่าวของ The Leak เผยแพร่ออกมา ทำให้หุ้นเมตาปรับขึ้น 1% ในการซื้อขายเมื่อวันอังคาร
ทั้งข่าวของ The Leak และการปฏิเสธข่าวของโฆษกเมตา ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากนัก และเป็นที่คาดหมายว่า นายซัคเคอร์เบิร์กจะไม่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับข่าวดังกล่าวด้วยตัวเองเช่นกัน
เป็นที่สังเกตว่า ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ผลประกอบการของเมตากำลังอยู่ในแนวดิ่ง โดยรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 “ย่ำแย่ลงต่อเนื่อง” ทั้งในส่วนรายได้และกำไร จนฉุดหุ้นเมตาร่วงกราวรูดถึง 19% ช่วงปลายเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา สู่ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2559
โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ทั้งหมด 2.77 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 4% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนผลกำไรนั้นร่วงหนักถึง 52% จากปีที่แล้ว เหลือแค่ 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเฟซบุ๊ค (Facebook) กระทั่งมารีแบรนด์เป็นเมตา (Meta) ในปี 2564 ครั้งนี้นับเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันแล้วที่ทั้งรายได้และกำไรของเมตาลดลง ซึ่งมาจากหลายปัจจัยที่รุมเร้ากันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น
ในรายงานไตรมาส 3 พบว่า หน่วยธุรกิจที่เรียกว่า Reality Labs ซึ่งเป็นแผนกที่ดูแลธุรกิจด้านเทคโนโลยีความจริงเสมือน (virtual reality) และ Metaverse ของเมตา ทำรายได้ไปเพียง 285 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงเกือบ 49% จากปีที่แล้ว
ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ แผนก Reality Labs ขาดทุนแบบเลือดไหลโกรก 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยราว 1.4 แสนล้านบาท! ทำให้นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เมตาสูญเงินกับธุรกิจนี้ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 3.57 แสนล้านบาท
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เมื่อเร็ว ๆนี้ เมตาต้องประกาศลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง โดยทางบริษัทมีแผนจะปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในปีหน้า รวมถึงการลดจำนวนพนักงานลงเป็นจำนวนมาก และจะรับพนักงานในส่วนที่จำเป็นกับการเติบโตของบริษัทจริงๆ เท่านั้น