นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ระบุว่า คณะรัฐมนตรีประเทศญี่ปุ่นมีมติเห็นชอบให้ยกระดับแผนยุทธศาสตร์ทางทหารฉบับใหม่เพื่อเสริมศักยภาพการป้องกันขั้นพื้นฐานของประเทศ รวมถึงแผนงบประมาณทางทหาร 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 11.14 ล้านล้านบาท) ภายในกรอบระยะเวลา 5 ปี
แผนงบประมาณทางทหารวงเงิน 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการตั้งงบประมาณทางทหารที่มีมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
ญี่ปุ่นมีเป้าหมายนำงบประมาณทางการทหารไปจัดซื้อขีปนาวุธพิสัยไกลที่สามารถสกัดกั้นและโจมตีขีปนาวุธวิถีโค้งที่ยิงเข้ามาที่ญี่ปุ่น สามารถทำลายการสื่อสารทางดาวเทียมและการสอดแนมด้วยโดรน รวมทั้งการจัดซื้ออะไหล่และเครื่องกระสุนเพื่อให้สามารถใช้อาวุธที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายเพิ่มงบประมาณกลาโหมเป็น 6.5 ล้านล้านเยน ในปี 2566 (47,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จาก 5.2 ล้านล้านเยน เมื่อปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 25% เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ด้านความมั่นคง อาทิ การขยายอิทธิพลของจีน การพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน
โดยญี่ปุ่นจะใช้จ่ายงบประมาณด้านกลาโหมรวม 43 ล้านล้านเยน ระหว่างปี 2566-2570 เฉลี่ยปีละ 8.6 ล้านล้านเยน
คาดว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะหารายได้จากการออกพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงเพิ่มภาษีนิติบุคคลและยาสูบ
นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศ ในห้วงที่ญี่ปุ่นเผชิญกับภัยคุกคามด้านความมั่นคง
การเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมสอดคล้องกับการทบทวนเอกสารสำคัญ 3 ฉบับ เกี่ยวกับนโยบายด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นมีขีดความสามารถด้านการโจมตีกลับ (counterstrike capability)
ญี่ปุ่นจัดให้จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามความมั่นคง ขณะที่เห็นว่าสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรสำคัญที่ต้องกระชับความร่วมมือแม้แผนการเพิ่มงบประมาณทางการทหารจะเป็นภาระหนักของรัฐบาลนายคิชิดะ