ผู้เสียชีวิต จาก เหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.5-7.8 แมกนิจูดที่ ตุรกีและซีเรีย ซึ่งเกิดขึ้นสองครั้งซ้อนเมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ตามด้วยอาฟเตอร์ช็อกอีกกว่า 60 ครั้ง ยังคงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิตรวมทั้งในตุรกีและซีเรียมากกว่า 7,800 ราย ขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า ผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ อาจมีมากกว่า 20,000 ราย ขณะที่สภาพอากาศที่หนาวเย็นและการเกิดอาฟเตอร์ช็อกเป็นระยะๆ ยังคงเป็นอุปสรรคต่อปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ยังคงติดอยู่ใต้ซากอาคารที่พังถล่มลงมา
นางแคทเธอรีน สมอลวูด เจ้าหน้าที่อาวุโสของ WHO ฝ่ายให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินภูมิภาคยุโรป กล่าวว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตขั้นสุดท้ายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวอาจสูงกว่า 8 เท่าจากตัวเลขที่มีการรายงานในเบื้องต้นขณะเกิดเหตุวันแรกที่ 2,600 ราย
หากตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวถูกต้อง จะทำให้เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ตุรกีและซีเรียในครั้งนี้เป็นภัยพิบัติที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิถล่มญี่ปุ่นในปี 2554
ทำงานแข่งกับเวลา 70 ประเทศร่วมช่วยปฏิบัติการกู้ภัย
นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการ WHO กล่าวที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ WHO ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลาเพราะทุกๆนาที ทุกๆชั่วโมงที่ผ่านไป หมายถึงโอกาสรอดชีวิตของผู้ประสบภัยที่ลดลงไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้ นอกจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัดและความสั่นไหวที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการค้นหาผู้รอดชีวิต อีกปัญหาสำคัญคือการขาดแคลนอุปกรณ์ขุดในหลายๆพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่และประชาชนต่างช่วยกันใช้อุปกรณ์เท่าที่มีรื้อซากอาคารที่พังทลายลงมา พวกเขาต้องการหมวกนิรภัย ค้อน ท่อนเหล็ก และเชือก
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความพยายามของทุกฝ่ายที่ระดมเข้ามาปฏิบัติการกู้ภัย จำนวนผู้ได้รับการช่วยเหลือจากซากปรักหักพังในสภาพที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ ทางการตุรกีได้ระดมกำลังทหาร 9,000 นาย พร้อมเจ้าหน้าที่ค้นหาและกู้ภัยมากกว่า 12,000 คนเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ตัวเลขล่าสุดวันนี้ (8 ก.พ.) มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 7,800 รายทั้งในตุรกีและซีเรีย ขณะที่ยอดผู้บาดเจ็บอยู่ที่กว่า 25,000 ราย
ประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ผู้นำตุรกี ประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 3 เดือนใน 10 จังหวัดซึ่งได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่นี้ ขณะที่กว่า 70 ประเทศ ได้เสนอความช่วยเหลือแก่ตุรกีในด้านการกู้ภัยและการค้นหาผู้สูญหายจากเหตุแผ่นดินไหว
เหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งนี้ ได้ซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจในตุรกี ที่กำลังเผชิญภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง และค่าเงินลีราที่ตกต่ำลงอย่างมากอยู่แล้ว
หน่วยงานบริหารจัดการภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉินของตุรกีรายงานว่า แผ่นดินไหวเมื่อวันจันทร์ (6 ก.พ.) ทำให้มีอาคารบ้านเรือนจำนวนรวม 5,775 หลังพังทลายลงมา ประชาชนจำนวนหลายหมื่นคนไร้ที่อยู่อาศัย
สถานทูตฯยันคนไทยยังปลอดภัย
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา รายงานสถานการณ์แผ่นดินไหวตุรกีล่าสุดว่า ได้ติดต่อกับคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวแล้วประมาณ 20 คน ณ ขณะนี้ ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิตที่เป็นคนไทยแต่อย่างใด และจากการที่ได้ติดต่อกับคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ปลอดภัย เพียงแต่ได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สิน และบางส่วนต้องอพยพไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ทางการตุรกีจัดหาให้
ในเบื้องต้น สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้แจ้งเป็นระยะๆขอให้ประชาชนไทยในพื้นที่ใช้ความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการอยู่ในอาคารที่ชำรุดเสียหาย ตรวจสอบและติดตามข่าวสารตลอดจนคำเตือนจากทางการตุรกี และหากมีเหตุฉุกเฉินเร่งด่วน สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯได้ตลอดเวลา
สำหรับผู้ที่กำลังจะเดินทางเข้ามาในตุรกี โปรดศึกษาข้อมูลการเดินทาง สถานที่ที่จะเดินทาง และข่าวสารจากสถานเอกอัครราชทูตฯและสื่อที่น่าเชื่อถือได้อย่างใกล้ชิดเพื่อวางแผนการเดินทางต่อไป โดยโปรดหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
กรณีคนไทยต้องการความช่วยเหลือจำเป็นเร่งด่วน สามารถติดต่อหมายเลขฉุกเฉินของสถานเอกอัครราชทูตฯ +90 533 641 5698 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งทาง Facebook Page สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา
ทั้งนี้ ญาติของคนไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ สามารถติดต่อกรมการกงสุล (กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ) ถนนแจ้งวัฒนะ หรือที่ Call Center 02 572 8442 ตลอด 24 ชั่วโมง
สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอความร่วมมือคนไทยที่เดินทางมาชั่วคราวหรือพำนักในตุรกี ให้ลงทะเบียนเพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการประสานงานให้ความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน โดยสามารถลงทะเบียนผ่านลิงก์ https://forms.gle/BKZJXYj7MFdDHZ3t6 (แบบลงทะเบียนคนไทยในต่างประเทศ)