สื่อต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟว่า กองทัพรัสเซีย ได้ใช้เครื่องยิงจรวดต่อต้านอากาศยาน เอส-300 ยิงใส่เมืองใน ยูเครนเมื่อวันศุกร์ (24 มี.ค.) โดยมุ่งเป้าไปที่ศูนย์ช่วยเหลือบุคคลไร้บ้าน ที่ซึ่งชาวยูเครนหลายคนใช้เป็นสถานที่พักพิงชั่วคราว รวมถึงหาอาหารประทังชีพและชาร์จโทรศัพท์มือถือ โดยที่เมืองบิโลพิลเลีย ในจังหวัดซูมี มีรายงานชาวยูเครน 2 คนเสียชีวิตและ 9 คนได้รับบาดเจ็บจาก การโจมตีด้วยจรวดและปืนใหญ่ ของรัสเซีย ส่วนที่เมืองเคอร์ซอนทางภาคใต้ มีผู้เสียชีวิต 1 รายจากปืนใหญ่ของรัสเซีย
ขณะเดียวกันฝ่ายยูเครนเผยแผนเตรียมการโจมตีเพื่อรุกกลับรัสเซียในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยระบุว่าความพยายามของมอสโกในการยึดเมืองบาคห์มุตเริ่มอ่อนแรงลง ขณะที่กองกำลังกรุงเคียฟกำลังรอความช่วยเหลือทางทหารรอบใหม่จากสหภาพยุโรป (อียู) โดยสิ่งที่ยูเครนต้องการมากที่สุดในการรับมือกับรัสเซียก็คือ อาวุธ
ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่าปฏิบัติการของยูเครนในการโจมตีตอบโต้รัสเซีย จะไม่สามารถเปิดฉากขึ้นได้ จนกว่าพันธมิตรตะวันตกจะส่งมอบความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมให้แก่ยูเครน
“เราจะไม่ส่งทหารไปยังแนวหน้า หากปราศจากรถถัง ปืนใหญ่ และเครื่องยิงจรวดไฮมาร์ส” ผู้นำยูเครนระบุ พร้อมยอมรับว่าสถานการณ์ทางภาคตะวันออกของยูเครน ไม่สู้ดีนัก "เรากำลังรอการมาถึงของกระสุนจากพันธมิตรของเรา"
มอสโกยังขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์
นายดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย และรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย กล่าวว่า กองทัพรัสเซียพร้อมแล้วสำหรับการตอบโต้ปฏิบัติการรุกกลับของยูเครน เขาขู่ว่า หากยูเครนพยายามยึดแคว้นไครเมียกลับคืน รัสเซีย “อาจตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์” และขอให้พันธมิตรของยูเครน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา รับทราบเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี
เมดเวเดฟยังได้เตือนด้วยว่า อาจมีการโจมตีระบบป้องกันขีปนาวุธที่ชาติตะวันตกมอบให้แก่กองทัพยูเครน เช่น ระบบแพทริออตของสหรัฐ หากอาวุธเหล่านั้นถูกส่งไปให้แก่ยูเครนโดยมีผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเข้าไปร่วมฝึกฝนทหารยูเครนให้ใช้อาวุธดังกล่าวด้วย
เตรียมจ้างทหารเพิ่ม 4 แสนนาย ตั้งรับการโต้กลับ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างอิงแหล่งข่าวว่า รัสเซียกำลังเตรียมการสำหรับการสู้รบที่ยาวนาน และต้องการจะจ้างทหารรับจ้างเพิ่มขึ้นอีก 400,000 นายในปีนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ประชาชนมาเป็นทหารเหมือนในปีที่ผ่านมา (2565) ซึ่งได้ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน และส่งผลให้ชาวรัสเซียนับล้านคนหนีออกนอกประเทศ
ด้านประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ซึ่งจะลงเลือกตั้งอีกสมัยในปีนี้ เชื่อว่า แม้รัสเซียเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งในด้านสงครามและการเมือง แต่รัสเซียก็จะสามารถสู้รบต่อไปได้นานกว่าฝ่ายที่ให้การสนับสนุนยูเครนทั้งในสหรัฐและยุโรป เขากล่าวว่า หากรัสเซียสามารถหยุดยั้งกองทัพยูเครนในการสู้รบได้ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า บรรดาพันธมิตรของยูเครนก็จะหยุดให้การสนับสนุนยูเครนไปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมอังกฤษซึ่งเปิดเผยเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (22 มี.ค.) ระบุว่า ในส่วนของสถานการณ์สู้รบที่บาคห์มุต กองกำลังของยูเครนได้เริ่มทำการโจมตีรุกกลับฝ่ายรัสเซียที่บริเวณตะวันตกของเมืองนี้ ซึ่งน่าจะช่วยเปิดทางให้มีการส่งเสบียงคลังไปยังฝ่ายยูเครนที่อยู่ภายในเมืองนี้ได้บ้าง
กระทรวงกลาโหมอังกฤษยังระบุด้วยว่า ขณะที่กองกำลังยูเครนยังคงเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากการถูกปิดล้อมอยู่ ในเวลานี้ มี “ความน่าจะเป็นที่ใกล้ความจริงว่า การโจมตีจากฝ่ายรัสเซียเข้าใส่เมืองนั้นเริ่มสูญเสียพลวัตอันจำกัดที่เคยมีแล้ว”