ผู้หญิงว่าไง ผลวิจัยชี้ 80% ของตำแหน่งงานสตรี แทนที่ได้ด้วย AI

26 มิ.ย. 2566 | 17:47 น.
อัปเดตล่าสุด :26 มิ.ย. 2566 | 18:14 น.

งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาชี้ว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์แขนงที่เรียกว่า Generative AI สุดอัจฉริยะ ที่ถูกนำมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆในธุรกิจด้านต่างๆ อาจจะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานเกือบ 80% ของแรงงานสตรีในสหรัฐอเมริกา

 

ตลาดแรงงาน เพิ่งจะมีข่าวดีสำหรับ สตรีวัยทำงาน อายุระหว่าง 25-54 ปีในสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานนี้เอง โดยพวกเธอมีตำแหน่งงานในตลาดแรงงานในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ (นิวไฮ) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา (77.5%) จากนั้นก็ทุบสถิติอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม (77.6%) ซึ่งเป็นการดีดตัวกลับของ แรงงานสตรี หลังผ่านพ้นช่วงแห่งการระบาดหนักของโควิด-19 สู่ระดับที่เคยเป็นมาก่อนการอุบัติของโควิด แต่ทิศทางที่ดีนี้กำลังถูกท้าทายโดยอัจฉริยภาพของ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เจเนอเรทีฟ เอไอ (Generative AI) ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้หลายอย่าง

 Generative AI หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Gen AI ตัวอย่างเช่น ChatGPT กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ เคยพยากรณ์สถานการณ์ในอนาคตว่า ศักยภาพของ Gen AI จะทำให้ตำแหน่งงานส่วนใหญ่ในสหรัฐถูกถ่ายโอนไปให้ AI ทำงานแทนมนุษย์

Generative AI คืออะไร

Generative AI คือเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) แขนงหนึ่งที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสร้างคอนเทนต์หรือชิ้นงานขึ้นเองได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ งานศิลป์ บทเพลง วิดีโอ หรือแม้แต่การเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ ความสามารถอัจฉริยะของมันนั้น แทบจะทำให้เราคิดว่า AI มีความรู้สึกนึกคิดและมีความคิดสร้างสรรค์เหมือนมนุษย์แล้ว แต่ในความเป็นจริง มันก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น

นั่นเป็นเพราะระบบ Generative AI ถูกฝึกให้เรียนรู้สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร บทความ ภาพวาด งานศิลป์ บทภาพยนตร์ บทละคร และอื่นๆ ที่สามารถเก็บไว้ในฐานข้อมูล database ที่ AI เข้าถึงได้ กล่าวอีกอย่างก็คือ มันเป็นระบบที่สามารถ “เลียนแบบ” ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ และมันก็เก่งถึงขั้นเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ แล้วนำมาสร้างคอนเทนต์หรือผลงานที่เป็นของมันเอง

Generative AI ที่โด่งดังที่สุดขณะนี้ คงหนีไม่พ้น ChatGPT ที่ถือเป็น Generative AI ตัวแม่ ที่สร้างปรากฏการณ์มีผู้ใช้งานพุ่งทะลุมากกว่า 1 ล้านคนในเวลาเพียง 5 วันหลังเปิดให้มีการใช้งานฟรี ทำลายทุกสถิติของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นๆไม่ว่าจะเป็น Twitter, Facebook, Instagram, Pinterest รวมถึง Spotify ที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะมีจำนวนผู้ใช้งานในระดับนี้ได้

กลับมาที่ผลวิจัยของ โรงเรียนธุรกิจคีแนน-แฟลกเลอร์ (Kenan-Flagler Business School) แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ล่าสุดที่ชี้ว่า ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐ มีแรงงานผู้ชายในสัดส่วนมากกว่าแรงงานหญิงอยู่แล้ว สถานการณ์ในอนาคตยิ่งไม่สู้ดีนัก เมื่อตำแหน่งงานของผู้หญิง 79% หรือเกือบ 59 ล้านคน อาจจะได้รับผลกระทบและถูกแทนที่ได้ด้วย Gen AI  ขณะที่ตำแหน่งงานของผู้ชายที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยี AI นั้นมีประมาณ 58%

สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เมื่อตำแหน่งงานของผู้หญิง 79% หรือเกือบ 59 ล้านคนในสหรัฐ อาจจะได้รับผลกระทบและถูกแทนที่ได้ด้วย AI

จูเลีย พอลแลค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จาก ZipRecruiter ผู้ให้บริการจัดหางานออนไลน์ ให้คำอธิบายว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานหลายอย่างที่เป็นงานในสำนักงานสามารถทำแทนด้วย AI ได้ง่ายกว่างานประเภทช่างก่อสร้าง ช่างไม้ วิศวกรไฟฟ้า และงานในอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆที่ส่วนใหญ่ใช้แรงงานผู้ชาย

การใช้เทคโนโลยี AI ในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ อาจทำให้แนวโน้มการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นของแรงงานสตรีในสหรัฐช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้ กลายเป็นสิ่งที่เกิดระยะสั้นเท่านั้นจากการเข้ามาแทนที่ของ AI แต่ก็ยังมีความหวังว่า มองอีกแง่เทคโนโลยีดังกล่าวก็เปิดโอกาสใหม่ ๆ เช่นกัน

ศ.มาร์ค แมคเนลลี จากโรงเรียนธุรกิจคีแนน-แฟลกเลอร์ หัวหน้าทีมวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่า พวกผู้หญิงทำงานประเภทที่เรียกว่า white-collar jobs  หรือคนทำงานในออฟฟิศ พนักงานออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือน รวมไปถึงระดับผู้บริหาร ในสัดส่วนที่มากกว่างานประเภท blue-collar หรืองานช่าง งานใช้แรงงาน งานโรงงาน ฯลฯ ขณะที่พวกผู้ชายจะทำงาน 2 ประเภทนี้ในสัดส่วนครึ่ง ๆ หรือใกล้เคียงกัน

สำหรับ งานที่สามารถแทนที่ได้ง่าย ๆด้วยเทคโนโลยี AI นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นงานประเภทเหล่านี้

  • งานในสำนักงาน เช่นพนักงานบัญชี-ตรวจสอบบัญชี เสมียน เลขานุการ พนักงานพิมพ์คอมพิวเตอร์  
  • งานบริหารจัดการสำนักงาน-งานฝ่ายสนับสนุน
  • งานบุคลากรด้านสุขภาพ เทคนิคการแพทย์ และงานสนับสนุนด้านสุขภาพ
  • งานการศึกษาและห้องสมุด
  • งานบริการชุมชนและสังคม

ซึ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นงานของผู้หญิง แมคเนลลีกล่าวว่า ผลวิจัยนี้ไม่ได้เน้นว่า AI จะเข้ามาแย่งงานและทำให้ใครต้องตกงาน แต่สาระสำคัญคือ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนทำงานทั้งหลายจะสามารถสร้างสรรค์หรือทำอะไรได้บ้างเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับงานที่ทำ

ดานา ปีเตอร์สัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากองค์กร Conference Board ซึ่งเป็นองค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยธุรกิจ ให้ความเห็นพร้อมยกตัวอย่างว่า ในงานประเภทบริการด้านสุขภาพ AI อาจจะไม่สามารถพลิกตัวคนไข้หรือใส่สายยางอาหารให้ผู้ป่วย แต่ AI สามารถช่วยแพทย์วินิฉัยโรคจากข้อมูลภาพนับพัน ๆล้านชิ้นในเวลาอันรวดเร็ว ถ้าพูดในแง่ผลกระทบ AI เป็นภัยคุกคามในตำแหน่งงานที่สามารถแทนที่ได้ง่ายด้วยคอมพิวเตอร์และจักรกล แต่กระนั้น ก็ใช่ว่า AI จะสมบูรณ์แบบและไร้ข้อบกพร่อง เพราะเอาจริง ๆ AI ก็ถูกฝึกให้สร้างเนื้อหาใหม่ ๆ จากเนื้อหาเก่า ๆ จำนวนมากมายมหาศาลที่มนุษย์เคยทำเอาไว้นั่นเอง

ดังนั้น AI จึงยังจำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์ให้สร้างสรรค์เนื้อหาขึ้นมา เพื่อให้มันได้ดึงมาใช้ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ สิ่งที่ AI สร้างหรือผลิตขึ้นมา ก็ใช่ว่าจะถูกต้องไร้จุดผิดพลาด ซึ่งงานนี้ยังต้องอาศัยมนุษย์มาตรวจสอบด้วย

นอกจากนี้ ในการนำ AI มาใช้ในงานธุรกิจ ยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและจริยธรรมในการนำ AI มาใช้ "อย่างมีความรับผิดชอบ"

ปีเตอร์สันกล่าวในเชิงบวกว่า AI ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดเมื่อมองในแง่การเข้ามาทำงานบางอย่างแทนมนุษย์ เพราะสุดท้ายแล้ว AI ก็จะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้มนุษย์ได้สร้างสรรค์งานใหม่ ๆขึ้นมาด้วย “มันจะช่วยให้ผู้คนค้นคิดวิธีที่จะทำงานที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพหรือผลผลิตมากขึ้นไปกว่าเดิม”    

ข้อมูลอ้างอิง