นักการเมืองในวัยอาวุโสของ สหรัฐอเมริกา มีอยู่มากมายในรัฐสภา แต่การที่ล่าสุด จู่ๆ นายมิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา ก็หยุดนิ่งไปโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ ขณะกำลังกล่าวแถลงข่าวที่สภาคองเกรสเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็นับเป็นเครื่องย้ำเตือนล่าสุดว่า ผู้นำทางการเมือง ที่ทรงอำนาจที่สุดของสหรัฐอเมริกานั้น มีอายุมากกว่าผู้นำหลายคนในประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ในโลกใบนี้ และสุขภาพของพวกเขาจะมีผลต่อการทำงานหรือไม่และเพียงใดนั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะวัยที่ลายครามอาจเป็นตัวบ่งชี้ประสบการณ์และความเก๋าเกมของผู้นำ แต่วัยที่มากเกินไปก็อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานเช่นกัน
รายงานของพิว รีเสิร์ช (Pew Research Center) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า นายโจ ไบเดน วัย 80 ปี เป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา และเขาก็แก่กว่า หรือมีอายุมากกว่าอายุเฉลี่ยของผู้นำประเทศอื่นๆทั่วโลกซึ่งค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 62 ปี อยู่เกือบๆ 20 ปีเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่า ประธานาธิบดีไบเดนจะมีอายุน้อยกว่าประธานาธิบดีพอล บิยา ผู้นำประเทศแคเมอรูน วัย 89 ปี ซึ่งเป็นประมุขแห่งรัฐที่มีอายุมากที่สุดในโลกในขณะนี้ก็ตาม แต่ไบเดนก็สามารถจะเป็น “คุณปู่” ของประธานาธิบดีเกเบรียล โบริค ของชิลี หรือนางซานนา มาริน ที่เพิ่งลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศฟินแลนด์เมื่อเดือนที่แล้ว โดยผู้นำและอดีตผู้นำที่กล่าวมา มีอายุเพียง 37 ปีเท่านั้น ถือเป็นผู้นำอายุน้อยที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม ปธน.ไบเดน ยังมีอายุน้อยกว่าสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐบางคน โดยในการแถลงข่าวที่อาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (26 ก.ค.) นายมิทช์ แมคคอนเนลล์ วัย 81 ปี ได้หยุดพูดกลางประโยค และยืนนิ่งเงียบเป็นเวลาถึง 21 วินาทีก่อนที่นักข่าวจะพาตัวเขาออกไปจากจุดที่เขายืนแถลงข่าว หลังจากนั้นสักครู่เขาจึงกลับมาอีกครั้งโดยบอกว่า "ผมสบายดี"
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับสภาพจิตใจของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอาการกระทบกระเทือนจากการล้มในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
สำนักงานเลขาฯของนายแมคคอนเนลล์เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (28 ก.ค.) ว่า เขาวางแผนจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนครบวาระการดำรงตำแหน่งในปีพ.ศ. 2569 ซึ่งถ้าถึงจุดนั้น เขาจะมีอายุ 84 ปี
ส่วนสมาชิกสภาสหรัฐหลายรายที่มีอายุมากกว่าหรือพอ ๆ กันกับนายแมคคอนเนลล์นั้น ได้แก่ นายชัค กราสลีย์ วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐไอโอวา วัย 89 ปี นางไดแอน ไฟน์สไตน์ วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตจากแคลิฟอร์เนียวัย 89 ปี และนายเบอร์นี แซนเดอร์ วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนต์ วัย 81 ปี
เว็บไซต์ FiveThirtyEight ประมาณการว่า สมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐจำนวนมากอยู่ในวัย 70 ปีขึ้นไป และอายุเฉลี่ยของวุฒิสมาชิกสหรัฐก็อยู่ที่ 65.3 ปี ซึ่งนับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อายุเฉลี่ยของประชากรชาวอเมริกันโดยรวมอยู่ที่ 38.8 ปีเท่านั้น
ในส่วนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อตอนชนะการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนมกราคมปี 2564 เขามีอายุ 78 ปี ถ้าอยู่ดำรงตำแหน่งครบ 4 ปี ก็จะมีอายุ 82 ปีในวันดำรงตำแหน่งครบเทอมแรก
ก่อนหน้านั้น มีการประเมินทางการแพทย์ของไบเดนที่ออกมาในเดือนธันวาคม 2562 ช่วงที่เขาเริ่มหาเสียงเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง เควิน โอคอนเนอร์ (Kevin O'Connor) รองศาสตราจารย์ด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ให้การรับรองว่า ไบเดนในขณะนั้น "แข็งแรง" มากพอที่จะเป็นประธานาธิบดีได้
จากประวัติด้านสุขภาพ เขาเคยใช้ Blood Thinner ซึ่งเป็นยาที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนผ่านเส้นเลือดและหลอดเลือดแดงได้อย่างราบรื่น ช่วยป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดก่อตัวหรือใหญ่ขึ้น และยาสำหรับกรดไหลย้อน คอเลสเตอรอล และโรคภูมิแพ้ตามฤดูกาล นอกนั้นในภาพรวม เขาดูดีมาก นอกจากนี้ เขายังไม่สูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งยังออกกำลังกาย 5 วันต่อสัปดาห์ นอกเหนือจากการเคยผ่าตัดไซนัสหลายครั้งแล้ว ไบเดนยังเคยผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกและมีการกำจัดมะเร็งผิวหนังที่ไม่ใช่เนื้องอกหลายชนิด
ประธานาธิบดีไบเดนความสูง 5 ฟุตสูง 11 นิ้ว น้ำหนัก 178 ปอนด์ ความดันโลหิต 128/84 เมื่อสมัยปี พ.ศ. 2552 เมื่อครั้งเป็นรองประธานาธิบดีสมัย บารัค โอบามา เขาเคยมีภาวะหัวใจห้องบนเริ่มเต้นผิดจังหวะเป็นครั้งคราว แต่เมื่อจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีในปี 2564 เขาไม่มีอาการของภาวะหัวใจห้องบนอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นตามอายุโดยเฉพาะ "ความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์"นั้น โดยทั่วไปผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อมจากหลอดเลือดเพิ่มขึ้น 2 เท่าในทุกๆ 5 ปี
ภาวะสมองเสื่อมดังกล่าวมีผลต่อ 1 ใน 14 คนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีและมีผลต่อ 1 ใน 6 คนที่มีอายุมากกว่า 80 ปี แต่ปัจจัยที่ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นสำหรับภาวะสมองเสื่อมจากหลอดเลือดเมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ มักมีสาเหตุหลักจากการสูบบุหรี่ การมีน้ำหนักตัวเกิน การขาดการออกกำลังกาย และโรคเบาหวาน กล่าวคือ รูปแบบการดำเนินชีวิต จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมจากหลอดเลือด ซึ่งสำหรับโจ ไบเดนนั้น เขาคงทราบเรื่องนี้ดี และปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมตลอดมา แม้ว่าเขาเคยมีอาการสมองโป่งพอง 2 ข้างในปี 2531 ซึ่งได้รับการรักษา แพทย์ของเขายืนยันว่า สิ่งนี้ไม่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของเขาในปัจจุบัน
ล่าสุด เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงรายงานของคณะแพทย์ ระบุว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในวัย 80 ปี ยังคงมีสุขภาพแข็งแรง พร้อมปฏิบัติหน้าที่ผู้นำสหรัฐต่อไปได้ อีกทั้งยังไม่มีภาวะ “ลองโควิด” แม้จะเคยมีประวัติติดโควิด-19 เมื่อปี 2565
นพ.เควิน โอคอนเนอร์ แพทย์ประจำทำเนียบขาว ระบุในรายงานสรุปผลตรวจสุขภาพของปธน.ไบเดน เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2566 ว่า “ประธานาธิบดียังคงมีสุขภาพสมบูรณ์พร้อมต่อการปฏิบัติหน้าที่ และสามารถกระทำภารกิจต่างๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบได้โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ”
ทั้งนี้ ผลตรวจสุขภาพของผู้นำสหรัฐเป็นที่จับตามองมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเขาประกาศจะลงสมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยที่สองในปีหน้า (2567)
การตรวจสุขภาพโดยคณะแพทย์จากศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติ วอลเตอร์ รีด ที่เมืองเบเธสดา รัฐแมริแลนด์ ถือเป็นการตรวจสุขภาพแบบครอบคลุมครั้งที่ 2 ของไบเดน นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐเมื่อเดือน ม.ค.2564 โดยรายงานผลตรวจสุขภาพระบุว่า ไบเดนน้ำหนักลดลงไป 8 ปอนด์จาก 184 ปอนด์เมื่อปี 2564 เหลือเพียง 178 ปอนด์ (80.74 กิโลกรัม) ส่วนค่าดัชนีมวลกาย (body mass index) อยู่ที่ 24.1 และค่าความดันโลหิตอยู่ที่ 126/78
อย่างไรก็ดี รายงานไม่ได้บอกว่าผู้นำสหรัฐเข้ารับการตรวจวัดระดับความสามารถทางสติปัญญา (cognitive tests) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินสมรรถภาพผู้สูงอายุด้วยหรือไม่ เท่าที่ผ่านมา เขาเคยแสดงอาการหลงลืมบ้าง แต่แพทย์ยังเห็นว่า ไม่มีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่
ไบเดนถือเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ และแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธไม่ตอบคำถามเรื่องอายุ แต่ผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า มีคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่กังวลว่า “ความชรา” หรืออายุที่มากขึ้นของเขา จะบั่นทอนศักยภาพในการเป็นผู้นำสหรัฐต่ออีก 4 ปี หากเขาเกิดชนะศึกเลือกตั้งสมัยที่สองในปีหน้าขึ้นมา
แม้อายุมากจะหมายถึงประสบการณ์ที่สั่งสมมากขึ้น รวมถึงการมีมุมมองที่กว้างไกลและการเข้าใจโลก แต่นั่นก็พ่วงมากับปัจจัยทางสังขารที่ทำได้เพียงบำรุงรักษาและประคับประคองเท่านั้นเอง
ข้อมูลอ้างอิง