เกิดเหตุระเบิดในฐานทัพอิรัก ตาย 1 เจ็บ 8 สหรัฐชิงปฏิเสธไม่มีเอี่ยว

21 เม.ย. 2567 | 02:08 น.
อัปเดตล่าสุด :21 เม.ย. 2567 | 02:50 น.

เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่ฐานทัพแห่งหนึ่งของอิรักในเมืองคาลซู (Kalsu) ทางตอนโต้ของนครแบกแดด ทำให้มีทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยฐานทัพแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองกำลัง Hashed al-Shaabi ที่ให้ความสนับสนุนอิหร่าน แต่ปัจจุบันเป็นผันตัวเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอิรักแล้ว

สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ยังทวีความตึงเครียดมากขึ้น และไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะใน อิสราเอล และ อิหร่าน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างอิงแหล่งข่าวจากกระทรวงความมั่นคงภายในและเจ้าหน้าที่ทางการทหารของ อิรัก ที่ระบุว่า เหตุการณ์ระเบิดที่ฐานทัพของอิรักเกิดขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ (19 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่นตะวันออกกลาง) มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 8 ราย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารอิรักจำนวน 3 นาย

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวเป็นเจ้าหน้าที่สองนาย ที่ออกมาระบุว่าการระเบิดเกิดขึ้นจากการโจมตีทางอากาศแต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นฝีมือของฝ่ายใด

ทางกองกำลังฮาเชด อัล-ชาบี (Hashed al-Shaabi) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอิรักแล้ว ออกแถลงการณ์ว่า ได้เกิดการระเบิดขึ้นจริงและทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต บางส่วนของฐานทัพรวมทั้งคลังอาวุธ และรถยนต์ ได้รับความเสียหาย

ภาพจากสื่อท้องถิ่นของอิรักแสดงให้เห็นถึงความอลหม่านที่เกิดขึ้นหลังเกิดเหตุระเบิดที่ฐานทัพ Calso เมื่อวันที่ 19 เม.ย.67 (ภาพข่าว AFP)

แหล่งข่าวระบุว่า จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีฝ่ายใดออกมาแสดงความรับผิดชอบ และทางอิรักเองก็ไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นฝีมือของฝ่ายใด และไม่ได้ยืนยันว่าเป็นการโจมตีทางอากาศด้วยโดรนหรือไม่

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุการณ์ ฝ่ายกองทัพสหรัฐได้โพสต์ข้อความทางสื่อโซเชียลมีเดีย X ว่า กองทัพสหรัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเหตุการณ์ในอิรักครั้งนี้ “สหรัฐไม่ได้ทำการโจมตีทางอากาศต่ออิรัก ข่าวที่ว่าการโจมตีครั้งนี้เป็นฝีมือของอเมริกัน ไม่เป็นความจริง”

เอเอฟพีรายงานว่า กองกำลังฮาเชด อัล-ชาบี เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับกลุ่มติดอาวุธนิกายชีอะห์ของอิหร่าน แต่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอิรัก การโจมตีฐานทัพของอิรักในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นหลังจากที่อิหร่านและอิสราเอลเปิดฉากการโจมตีโต้ตอบกัน

สภาพความเสียหาย (ภาพข่าว AFP/UGC)

โดยหลังจากที่อิสราเอลโจมตีทางอากาศสถานกงสุลของอิหร่านในประเทศซีเรียเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา อิหร่านก็เอาคืนด้วยการส่งโดรนและขีปนาวุธกว่า 300 ลูกเข้าถล่มอิสราเอลเมื่อวันที่ 13 เม.ย. และหลังจากนั้น อิสราเอลก็โจมตีทางอากาศเมืองอิสฟาฮานทางตอนกลางของอิหร่านซึ่งเป็นที่ตั้งฐานทัพอากาศและโรงงานนิวเคลียร์เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา สร้างความหวั่นวิตกว่าจะเกิดสงครามที่ขยายขอบเขตลุกลามในภูมิภาคตะวันออกกลาง ขณะเดียวกัน อิสราเอลเองยังคงเปิดศึกถล่มกลุ่มฮามาสซึ่งเป็นปาเลสไตน์ติดอาวุธในเขตฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ที่ฮามาสบุกเข้ามาโจมตีอิสราเอลอย่างอุกอาจเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566   

ในระหว่างการเยือนกรุงวอชิงตันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 เม.ย.) นายโมฮาเหม็ด เชีย อัล-ซูดานี นายกรัฐมนตรีอิรัก ได้เข้าพบประธานาธิบดีโจ ไบเดน และยืนยันว่าอิรักไม่ต้องการให้ความตึงเครียดในตะวันออกกลางลุกลามขยายวงกว้างออกไป และอิรักเองก็พยายาม "ทำทุกวิถีทาง" ที่จะลดความตึงเครียดนั้นลง

ผู้นำอิรักยังกล่าวด้วยว่า การโจมตีอิสราเอลทางอากาศโดยฝ่ายอิหร่านเมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น อิรักไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย และไม่มีการยิงขีปนาวุธจากแผ่นดินของอิรัก อย่างไรก็ตาม อิหร่านใช้น่านฟ้าเหนืออิรัก ยิงโดรนและขีปนาวุธผ่านไปยังอิสราเอล ซึ่งก็ถูกระบบแพตทริออทของสหรัฐยิงสกัดตกบริเวณเมืองเออร์บิลของอิรักนั่นเอง