ความเป็นมาของ วันแรงงาน ในสมัยก่อน ประเทศแถบยุโรปจะนับว่า วันเมย์เดย์ (May Day) เป็นวันเริ่มต้นฤดูใหม่ในภาคเกษตรกรรม จึงได้จัดให้มีพิธีเฉลิมฉลองและทำการบวงสรวงเพื่อขอให้เทพเจ้าช่วยดลบันดาลให้การปลูกพืชเป็นไปด้วยดี อีกทั้งยังขอให้ประชาชนอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ มีความร่มเย็นเป็นสุข รวมถึงทางภาคเหนือของยุโรปก็ยังมีการจัดงานรอบกองไฟในวันเมย์เดย์นี้ด้วย ซึ่งประเพณีดังกล่าวก็ยังคงปฏิบัติกันสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันในประเทศอังกฤษ
แรก ๆ วันเมย์เดย์ เป็นเพียงแค่วันหยุดพักผ่อนประจำปี แต่ต่อมาประเทศอุตสาหกรรมในหลายๆ แห่งได้ถือว่าวันนี้เป็นวันหยุดตามประเพณี โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึง ความสำคัญของ “ผู้ใช้แรงงาน” ที่ได้ทำประโยชน์ต่างๆ ต่อเศรษฐกิจของประเทศ ความหมายของวันเมย์เดย์จึงแปรเปลี่ยนไปจากเดิม
จนเมื่อปีพ.ศ. 2433 (ค.ศ.1890) ได้มีการออกมาเรียกร้องในหลายประเทศของโลกตะวันตกให้ถือเอาวันที่ 1 พฤษภาคม เป็น “วันแรงงานสากล” ทำให้ในหลายประเทศได้เริ่มมีการจัดงานเฉลิมฉลองวันแรงงานขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2433 และสืบทอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
วันแรงงานสากล 1 พฤษภาคมนั้น เกิดขึ้นจากการระลึกถึงเหตุการณ์ระเบิดที่จัตุรัสเฮย์มาร์เก็ต (Haymarket) ในนครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤษภาคมปีพ.ศ.2429 (ค.ศ.1886) ในขณะที่กลุ่มแรงงานกำลังเดินขบวนเพื่อเรียกร้องชั่วโมงการทำงานเพียง 8 ชม.ต่อวัน (ทำให้การเคลื่อนไหวครั้งนั้นถูกเรียกว่า “การเคลื่อนไหวแปดชั่วโมงต่อวัน” หมายถึงสนับสนุนให้ใน 1 วัน แบ่งเป็นทำงาน 8 ชั่วโมง สันทนาการ 8 ชั่วโมง และพักผ่อน 8 ชั่วโมง)
การระเบิดดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 ราย และกลายเป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลก นับจากนั้นในวันที่ 1 พ.ค. ของทุกปี จึงมีการเดินขบวนของแรงงานในประเทศต่างๆ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์นี้
ในเวลาต่อมา วันแรงงานสากลมักถูกนำไปผูกติดกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มซ้ายจัด จนถึงเมื่อคราวที่ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ต้องการให้มี "วันแรงงานสหรัฐ" จึงตัดสินใจเลือกวันอื่นแทนวัน May Day เพราะไม่ต้องการยึดโยงถึงการเมืองและเหตุการณ์ระเบิดที่ชิคาโกดังกล่าว
รัฐสภาสหรัฐจึงรับรองอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1894 (พ.ศ.2437) ให้วันจันทร์แรกของเดือนกันยายนเป็นวันแรงงานทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นวันหยุด ถือเป็นวันหยุดสุดท้ายในช่วงฤดูร้อนก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง วันแรงงานแห่งชาติของสหรัฐจึงไม่ได้ตรงกับวันแรงงานสากล ด้วยประการฉะนี้
อุตสาหกรรมไทยในสมัยก่อนได้เริ่มขยายตัวมากขึ้น ผู้ใช้แรงงานต่างก็มีปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งปัญหาแรงงานก็ยังมีความซับซ้อนยากที่จะแก้ไขได้โดยงาน ทำให้ในปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยได้เริ่มมีการจัดการบริหารแรงงาน โดยเป็นการจัดสรรและพัฒนาแรงงาน ตลอดจนคุ้มครองและดูแลสภาพการทำงานของแรงงาน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างรากฐานและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างให้ดีขึ้น ซึ่งในวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2499 คณะกรรมการจัดงานที่ระลึกแรงงานได้จัดประชุมขึ้น โดยมีความเห็นตรงกันว่า ควรกำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ให้เป็นวันที่ระลึกถึงแรงงานไทย จึงได้มีหนังสือถึงนายรัฐมนตรีขอให้รับรองวันที่ 1 พฤษภาคม ทำให้นับแต่นั้นมา วันที่ 1 พฤษภาคม จึงกลายเป็น “วันกรรมกรแห่งชาติ” จนต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วันแรงงานแห่งชาติ”
ในปี พ.ศ. 2500 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน ที่ได้กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิ์หยุดงานในวันแรงงานแห่งชาติได้ แต่พระราชบัญญัติฉบับนี้มีอายุได้เพียง 18 เดือนก็ถูกยกเลิกไป โดยมีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 มาแทนที่ และให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดเรื่องการคุ้มครองแรงงาน อีกทั้งยังกำหนดให้วันกรรมกรเป็นวันหยุดตามประเพณี แต่เนื่องด้วยสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นมีความไม่แน่นอน จึงมีคำชี้แจงออกมาในแต่ละปีเพื่อเป็นการเตือนนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานในวันที่ 1 พฤษภาคม โดยในบางปีก็ได้มีการขอร้องไม่ให้มีการเฉลิมฉลองเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
กระทั่งมาถึงปี พ.ศ. 2517 ได้เปิดโอกาสให้มีการเฉลิมฉลองตามสมควร โดยได้มอบหมายให้กรมแรงงานที่ขณะนั้นสังกัดกระทรวงมหาดไทยจัดงานฉลองวันแรงงานแห่งชาติขึ้นที่สวนลุมพินี ภายในงานได้มีการจัดให้ทำบุญตักบาตร มีนิทรรศการแแสดงความรู้ ตลอดจนกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
สำหรับ วันแรงงานแห่งชาติ ไม่ถือว่าเป็นวันหยุดทางราชการ ฉะนั้น หน่วยงานราชการก็ยังคงเปิดทำงานและให้บริการตามปกติในวันแรงงานแห่งชาติ ส่วนที่มีการหยุดงานจะเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานเอกชนเท่านั้น