นั่นหมายความว่า อัตราเด็กเกิดลดลงกว่าในอดีตค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันก็จะมีผู้สูงอายุมากขึ้นด้วย ในแง่ ประชากรศาสตร์ “จีน” ได้ขยับเข้าใกล้ สังคมสูงวัยเต็มที่ หรือ Super-Aged Society ตามเกณฑ์ของธนาคารโลก (World Bank) แล้ว โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ระบุว่า ในปี 2566 คนวัยเกษียณ (60 ปีขึ้นไป) ในจีนมีจำนวนมากถึง 296.97 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.1 ของประชากรทั้งประเทศ หรือกล่าวได้ว่า 1 ใน 5 ของประชากรจีนเป็นผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ ผลการวิจัยด้านประชากรจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ยังคาดการณ์ว่า “จีน” จะเข้าสู่ สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด (Super-Aged Society) ในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือในปีพ.ศ. 2576
หากมองในแง่เศรษฐศาสตร์ ต้องบอกว่า “จีน” เป็นประเทศที่น่าจับตามอง เพราะด้วยจำนวนประชากรและกำลังซื้ออันมหาศาล หลายฝ่ายมองว่า “เศรษฐกิจสีเงิน” หรือ Silver Economy จะเป็นโอกาสและความท้าทายใหม่ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต
ภาคธุรกิจไทยควรติดตามเทรนด์การเติบโตของกลุ่ม Silver Gen หรือ “คนจีนรุ่นใหญ่วัยมั่งคั่ง” นี้ให้ดี เพราะเป็นตลาดที่มีอนาคตไกลจากการขยายตัวที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อภาคธุรกิจจะสามารถปรับตัว (Business Transformation) นำเสนอสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของกลุ่มเป้าหมายนี้ได้ตรงจุด
ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC) ได้ประมวลคำนิยามของ Silver Gen เอาไว้ว่า ไม่ได้เป็นคำเรียกผู้สูงวัยทั่วไป และใช่ว่าใครจะเป็น Silver Gen ได้
ทั้งนี้ ลักษณะเด่นของ Silver Gen คือ “สูงวัย ใจเกินร้อย” และมอง “อายุเป็นเพียงตัวเลข” เป็นกลุ่มที่มีบุคลิกเฉพาะตัว (Character) มีไลฟ์สไตล์อินเทรนด์ หัวคิดทันสมัย รักการเรียนรู้สิ่งใหม่ ใส่ใจดูแลภาพลักษณ์ สุขภาพและความงามของตัวเอง ชอบการท่องเที่ยวและกิจกรรมสังสรรค์ พร้อมเติมความสุข สดใสให้กับชีวิต
การที่ “เศรษฐกิจสีเงิน” ของจีนอยู่ในระยะ ‘ตั้งไข่’ การตลาดสำหรับคนสูงอายุยังไม่ชัดเจน ผู้สูงอายุใช้สินค้าและบริการร่วมกับกลุ่มคนวัยทำงาน การแข่งขันยังไม่รุนแรงมากนัก จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยสามารถคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กลุ่ม Silver Gen และขยายอิทธิพลของ Made in Thailand ในตลาดจีนได้ เหมือนวลีที่ว่า “ใครเข้าตลาดก่อน ได้เปรียบ”
ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในตลาดกลุ่ม Silver Gen ในจีน คือ กลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องการใช้ชีวิตและสุขภาพ และต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สังคมเมืองได้ดีอย่างเช่น
นอกจากนี้ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงาม ก็เป็นอีก “โอกาสทอง” ของภาคธุรกิจ(ไทย) โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ซึ่งเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่กำลังมาแรงอย่างมากในขณะนี้ เป็น 1 ใน 12 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลไทยให้การสนับสนุนเพื่อเป็นกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต และเป้าหมายการเป็น “ศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ” (Medical and Wellness Hub) ของประเทศไทยด้วย
ต้องบอกว่า Silver Gen จีนชอบสังสรรค์ รักการเดินทาง(ในแบบที่สะดวกสบายต้องมาก่อน) จึงมักหาเวลาทำกิจกรรมกับเพื่อน ๆ เพื่อให้ชีวิตไม่เหงา จึงเป็นโอกาสและความท้าทายสำหรับภาคการท่องเที่ยวไทยที่ต้องปรับตัวให้ทัน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก และการบริการ เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูอายุ (Age – Friendly City)
ในบริบทที่ประเทศไทยมีต้นทุนด้านการท่องเที่ยวที่เข้มแข็ง มีชื่อเสียงด้านบริการสุขภาพที่เป็นที่ยอมรับ และมีราคาที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับจีนที่มีทรัพยากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอแถมมีราคาแพง ภาคธุรกิจไทยสามารถชู “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” กับ “Soft Power —– ภูมิปัญญาพื้นบ้าน/การแพทย์แผนไทย” ที่สำคัญต้องเข้าใจก่อนว่า… คนที่มาเที่ยวเขาไม่ได้ป่วย แต่เป็น ‘สายเฮลตี้’ ที่อยากเที่ยวแถมได้สุขภาพ
ทริปท่องเที่ยวสามารถสอดแทรกกิจกรรมเสริมสุขภาพ อาทิ อาหารไทยเพื่อสุขภาพ โยคะ นวดประคบอบสมุนไพร หรือกิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value Added) อย่างสปาสุคนธบำบัด (Aromatherapy) เชื่อว่า จะช่วยสร้างแต้มต่อให้บ้านเราเป็นดาวเด่นในการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน หรือจัดทริปแบบวัดตัวตัด (Tailor-made) เช่น ทริปตรวจสุขภาพ ทริปศัลยกรรมความงามและยกกระชับฟื้นฟูสภาพผิว
ขณะที่ “การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์” เป็นอีกหนึ่งสาขาธุรกิจที่ตอบโจทย์ตลาดจีนได้ แม้ว่าการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จะมีลักษณะแตกต่างจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอยู่เล็กน้อย เพราะนักเดินทางกลุ่มนี้จะให้น้ำหนักกับการมาใช้บริการทางการแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพ โดยปัจจุบัน ประเทศไทยมีมาตรการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตรา(วีซ่า) สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางจีน เพื่อการรักษาพยาบาลในระยะสั้น 60 วัน และระยะยาว 90 วัน เพื่อให้ผู้เดินทางได้เข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานในประเทศไทย
จะทำการตลาดอย่างไร ให้กลุ่ม Silver Gen จีนได้รู้จัก มั่นใจ และเลือกเมืองไทยเป็นจุดหมาย เมื่อนึกถึงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงแพทย์
ในมุมของศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC) เห็นว่าเป็นเรื่องของ “การสื่อสาร” การที่เราจะประสบความสำเร็จในการสื่อสารกับกลุ่ม Silver Gen นั้น เราต้องเข้าใจพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้เสียก่อน เราต้องลบมุมมองเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของคนสูงอายุที่เดินตบมือเปาะแปะหรือแกว่งแขนออกกำลังกายอยู่แถวหมู่บ้าน
ดังนั้น ภาคธุรกิจไทยควรศึกษารสนิยม ความชอบ ไลฟ์สไตล์ หรือความต้องการที่แท้จริง โดยการออกแบบสินค้าและบริการเพื่อกลุ่ม Silver Gen จะต้องสื่อสารให้ชัด ไม่โฆษณาเกินจริง ไม่หลอกลวงผู้บริโภค และที่สำคัญ คือต้องไม่ลืมสื่อสารถึง “คนรอบข้าง”ผู้สูงวัยด้วย
ทั้งนี้ ในสังคมที่เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างจีน ซึ่งได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับไลฟ์สไตล์ของคน Silver Gen ไปมากพอสมควร กลุ่ม Silver Gen จีน โดยเฉพาะกลุ่ม Prepare (50-59 ปี) และกลุ่ม Repair YOLD หรือ Young Old (60-69 ปี) ที่เรียกรวม ๆ ว่ากลุ่มสูงวัยตอนต้น พวกเขายังเดินเหินคล่องแคล่ว ความคิดความอ่านทันสมัยชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ มีความสุขกับชีวิต และมีความกลัวตกเทรนด์ FOMO (Fear of Missing Out) ไม่แพ้ Gen อื่นในสังคม
คอลัมน์ ชี้ช่องจากทีมทูต เป็นความร่วมมือระหว่างฐานเศรษฐกิจ กับศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ globthailand.com กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ / ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC) สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง