ผลสำรวจจาก Reuters/Ipsos ล่าสุดเผยว่า รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน "กมลา แฮร์ริส" ยังคงนำหน้าคู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน "โดนัลด์ ทรัมป์" อยู่ 3 จุดเปอร์เซ็นต์ ด้วยคะแนนเสียง 45% ต่อ 42% ขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน ตามเวลาประเทศไทย กำลังเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นระหว่างทั้งสองฝ่าย
แม้ว่าผลต่างของคะแนนเสียงจะไม่เปลี่ยนแปลงจากการสำรวจเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ผลสำรวจล่าสุดที่ปิดการเก็บข้อมูลเมื่อวันอาทิตย์ชี้ให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเฉพาะกลุ่มประชาธิปไตย แสดงความกระตือรือร้นในปีนี้มากกว่าการเลือกตั้งปี 2563 ที่โจ ไบเดน เอาชนะทรัมป์ได้
ผลสำรวจชี้ว่า 78% ของผู้ลงทะเบียนมีสิทธิเลือกตั้งในผลสำรวจ 3 วันระบุว่า พวกเขา "มั่นใจเต็มที่" ว่าจะไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง โดย 86% ของพรรคเดโมแครต และ 81% ของพรรครีพับลิกันแสดงความมั่นใจเช่นนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 74% ในการสำรวจช่วงเดือนตุลาคมปี 2563 โดยในปีนั้นพรรคเดโมแครตมีผู้มั่นใจจะไปใช้สิทธิ 74% ขณะที่รีพับลิกันอยู่ที่ 79%
การสำรวจนี้มีค่าความคลาดเคลื่อนของข้อมูลอยู่ที่ประมาณ 4 จุดเปอร์เซ็นต์
แฮร์ริสเริ่มเข้าร่วมการเลือกตั้งครั้งนี้ในเดือนกรกฎาคม หลังจากที่โจ ไบเดน ประกาศยุติความพยายามในการลงเลือกตั้งสมัยที่สอง เนื่องจากการอภิปรายที่ไม่ได้ผลดีในเดือนมิถุนายน ซึ่งขณะนั้นทรัมป์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สมัครที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในประเด็นเศรษฐกิจ หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อสูงในช่วงรัฐบาลไบเดนได้เริ่มลดลงในช่วงหลัง
ทว่าขณะนี้ แฮร์ริสกำลังได้รับความสนับสนุนจากกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มองว่าเธอเป็นผู้ที่เหมาะสมในการจัดการนโยบายสุขภาพและการต่อสู้กับลัทธิสุดโต่งทางการเมือง แม้ว่าผู้ลงคะแนนจะมองว่าเศรษฐกิจเป็นปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศ และทรัมป์เป็นผู้ที่มีความสามารถมากกว่าในด้านนี้
ในการสำรวจ ผู้ลงคะแนนให้คะแนนแฮร์ริสนำทรัมป์ 5 จุดเปอร์เซ็นต์ในประเด็นการจัดการกับลัทธิสุดโต่งทางการเมืองและการคุกคามต่อประชาธิปไตย โดยได้คะแนน 43% ต่อ 38% และแฮร์ริสยังนำทรัมป์ถึง 14 จุดเปอร์เซ็นต์ในด้านนโยบายสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากผลสำรวจเมื่อวันที่ 20-23 กันยายนระบุว่าความนิยมในประเด็นเหล่านี้แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากผลการสำรวจก่อนหน้า
ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์นำแฮร์ริสอยู่ 5 จุดเปอร์เซ็นต์ ด้วยคะแนน 45% ต่อ 40% เมื่อถามถึงนโยบายเศรษฐกิจ การว่างงาน และการสร้างงาน ซึ่งเป็นประเด็นที่ 26% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าเป็นปัญหาหลักของประเทศ เทียบกับ 23% ที่เลือกปัญหาลัทธิสุดโต่งทางการเมือง และ 3% ที่มองว่าสุขภาพเป็นปัญหาสำคัญที่สุด
ความได้เปรียบของทรัมป์ในด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจก่อนหน้าที่เขานำแฮร์ริสเพียง 2 จุดเปอร์เซ็นต์
แม้ว่าผลการสำรวจระดับประเทศจะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความเห็นของประชาชน แต่ผลการเลือกตั้งที่แท้จริงจะขึ้นอยู่กับผลโหวตของคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐ ซึ่งมี 7 รัฐที่ถูกจัดว่าเป็นสนามสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผลสำรวจชี้ว่าทรัมป์และแฮร์ริสมีคะแนนเกือบจะสูสีกันในรัฐเหล่านี้ โดยหลายผลสำรวจมีค่าคลาดเคลื่อนเกินจะแยกแยะได้อย่างชัดเจน
ด้วยการแข่งขันที่เข้มข้น การชักจูงให้ผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่ายออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินผลการเลือกตั้ง โดยในการเลือกตั้งปี 2563 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพียงสองในสามของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่ไปใช้สิทธิ ซึ่งถือเป็นการออกมาใช้สิทธิที่มากที่สุดในรอบกว่าหนึ่งศตวรรษตามการประมาณการของ U.S. Census Bureau และ Pew Research Center
ประชากรผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งราวหนึ่งในสามเป็นพรรคเดโมแครต อีกหนึ่งในสามเป็นพรรครีพับลิกัน และที่เหลือเป็นผู้ไม่ฝักใฝ่พรรคใด ตามการสำรวจของ Pew
แม้ผู้ลงคะแนนจะดูตื่นตัว แต่ทั้งสองผู้สมัครยังไม่ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนส่วนใหญ่ โดยมีเพียง 46% ที่กล่าวว่าพวกเขามีทัศนคติที่ดีต่อแฮร์ริส ขณะที่ทรัมป์ได้รับความเห็นชอบจาก 42% ของผู้ตอบแบบสำรวจ
การสำรวจ Reuters/Ipsos ครั้งนี้ได้เก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 938 คนทั่วประเทศทางออนไลน์ รวมถึงผู้ลงทะเบียนเลือกตั้ง 807 คน ในจำนวนนี้ 769 คนถูกประเมินว่าเป็นผู้มีโอกาสสูงที่จะไปใช้สิทธิในวันเลือกตั้ง ซึ่งในกลุ่มนี้แฮร์ริสนำทรัมป์อยู่ 3 จุดเปอร์เซ็นต์ ด้วยคะแนน 47% ต่อ 44%