สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า จีนมีแผนเพิ่มขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2568 ซึ่งนับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากเป้าหมาย 3% เดิม พร้อมกับยืนยันเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ประมาณ 5% ตามที่แหล่งข่าววงในสองรายเปิดเผยหลังการประชุมเศรษฐกิจสำคัญเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยการขยายการขาดดุลงบประมาณครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการรับมือความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นหากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำอีกครั้งในปีหน้า
แผนการขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้นคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 1 จุดเปอร์เซ็นต์จากเดิม เทียบเท่ากับการใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกประมาณ 1.3 ล้านล้านหยวน (179.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากการออกพันธบัตรพิเศษนอกงบประมาณเพิ่มเติม ทั้งนี้ รายละเอียดดังกล่าวยังไม่ถูกประกาศอย่างเป็นทางการ และอาจจะมีการยืนยันอีกครั้งในการประชุมสภาประชาชนประจำปีเดือนมีนาคม
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจจีนประสบภาวะซบเซาอย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้จากวิกฤติในภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้ท้องถิ่นที่พุ่งสูง และความต้องการบริโภคภายในประเทศที่อ่อนแอ การส่งออกเป็นภาคส่วนที่ยังคงสร้างความหวัง แต่กำลังเผชิญความเสี่ยงจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ที่อาจสูงถึง 60% ตามนโยบายที่ทรัมป์เคยประกาศระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง
ผู้ผลิตจีนหลายรายเริ่มมีการย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศเพื่อลดผลกระทบจากภาษี แต่ภาคการส่งออกซึ่งสร้างรายได้มหาศาลกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีจากตลาดสหรัฐฯ ยังคงกังวลถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อกำไร การจ้างงาน การลงทุน และการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน อีกทั้งอาจซ้ำเติมปัญหาอุปทานส่วนเกินและภาวะเงินฝืดที่ยังคงรุนแรง
แหล่งข่าววงในระบุเพิ่มเติมว่า การตัดสินใจคงเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5% ในปีหน้านั้นเป็นผลจากความจำเป็นในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยการประชุมใหญ่ในเดือนธันวาคมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เน้นย้ำถึงนโยบายการคลังที่ "เชิงรุกมากขึ้น" และการออกหนี้สาธารณะเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงจากภายนอก
การประชุมดังกล่าวยังส่งสัญญาณถึงท่าทีผ่อนคลายทางการเงินที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยธนาคารกลางจีนเตรียมเปลี่ยนแนวทางสู่ "นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างเหมาะสม" ซึ่งสร้างความคาดหวังว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ หลังจากที่ธนาคารกลางใช้นโยบายการเงินแบบ "ระมัดระวัง" มาเป็นเวลากว่า 14 ปี ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวหนี้สาธารณะและหนี้ภาคครัวเรือนของจีนเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า ในขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 3 เท่า
นักวิเคราะห์เชื่อว่า จีนจะต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังอย่างมากในปีหน้า ขณะเดียวกันอาจมีการใช้เครื่องมืออื่นๆ เพื่อลดผลกระทบจากภาษีศุลกากร โดยมีการคาดการณ์ว่าทางการจีนอาจยอมให้เงินหยวนอ่อนค่าลง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ
การตัดสินใจดำเนินมาตรการเชิงรุกครั้งนี้สะท้อนถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนต้องเผชิญทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจสร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเตรียมพร้อมของจีนผ่านการขยายเพดานขาดดุลงบประมาณและการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นความพยายามในการประคองการเติบโตท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจ
ถึงแม้การเพิ่มขาดดุลงบประมาณจะช่วยสร้างแรงกระตุ้นในระยะสั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายยังคงกังวลถึงความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะของจีนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับความท้าทายในการสร้างสมดุลทางการเงินหากการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ขณะเดียวกัน แถลงการณ์หลังการประชุมได้ย้ำถึงการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนในระดับที่ "เหมาะสมและสมดุล" ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีเดิมในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าจีนอาจต้องยืดหยุ่นมากขึ้นในการบริหารค่าเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ
สำหรับการประกาศแผนขาดดุลงบประมาณอย่างเป็นทางการนั้น คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมปีหน้าในการประชุมสภาประชาชนประจำปี ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญว่าจีนสามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งนี้ได้อย่างไร ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่กำลังปกคลุมเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน