วิสัยทัศน์เศรษฐกิจของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ภายใต้ "Maganomics" ซึ่งเน้นแนวคิด America First "อเมริกาต้องมาก่อน" และการปกป้องการค้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกในปี 2025 ตามผลสำรวจล่าสุดจาก Financial Times โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่แสดงความกังวลว่านโยบายเหล่านี้อาจบดบังผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากมาตรการอื่นๆ ของทรัมป์
ผลสำรวจจากนักเศรษฐศาสตร์กว่า 220 คนในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และยูโรโซน ชี้ให้เห็นว่านโยบายของทรัมป์ เช่น การเก็บภาษีศุลกากรสูงถึง 20% การเนรเทศแรงงานไร้เอกสารจำนวนมาก และการลดขั้นตอนราชการ อาจสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจในระยะยาว
มีคำเตือนว่า แม้นโยบายดังกล่าวอาจกระตุ้นการเติบโตในระยะสั้น แต่จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวในที่สุด สิ่งนี้อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่ไม่เพียงส่งผลต่อสหรัฐฯ แต่ยังส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยในไตรมาสสามของปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 2.8% ต่อปี แต่นโยบายที่มุ่งเน้นการปกป้องการค้าอาจลดความเชื่อมั่นในระยะยาว และอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยลงเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
แม้ความกังวลจากนักเศรษฐศาสตร์ แต่ตลาดหุ้นกลับมีการตอบสนองในเชิงบวก ดัชนี S&P 500 ปิดปี 2024 ด้วยการเพิ่มขึ้นกว่า 23.3% สะท้อนความหวังของนักลงทุนต่อมาตรการลดหย่อนภาษีและการยกเลิกกฎระเบียบภายใต้รัฐบาลทรัมป์
เบนจามิน โบว์เลอร์ นักยุทธศาสตร์จาก Bank of America กล่าวว่า การปฏิวัติ AI ที่กำลังมาแรงอาจช่วยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในบางด้าน แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากการขึ้นดอกเบี้ยที่ยืดเยื้อ
ยูโรโซน นักเศรษฐศาสตร์กว่า 85% คาดว่านโยบายของทรัมป์จะส่งผลกระทบเชิงลบ โดยเฉพาะต่อภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนี เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ที่อาจเผชิญกับแรงกดดันจากภาษีศุลกากรและสินค้าราคาถูกจากจีนที่เข้ามาในตลาด
สหราชอาณาจักร แม้จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าเนื่องจากภาคบริการขนาดใหญ่ แต่ยังมีความเสี่ยงจาก "ผลกระทบรอบสอง" หากเศรษฐกิจยูโรโซนชะลอตัว นักเศรษฐศาสตร์บางคนเตือนว่ารัฐบาลทรัมป์อาจสร้างความไม่แน่นอนจนธุรกิจและครัวเรือนหลีกเลี่ยงการตัดสินใจลงทุนระยะยาว
ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกในอนาคต
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนยังคงแบ่งแยกมุมมองต่ออนาคตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ โดยกว่าครึ่งคาดว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลลบ ขณะที่อีก 20% มองในแง่ดีว่าจะมีผลบวกต่อการเติบโต
แม้จะมีความหวังจากนักลงทุน แต่ความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายปกป้องการค้าและแนวทางเศรษฐกิจของทรัมป์ยังคงเป็นสิ่งที่ทั่วโลกจับตามองในปี 2025 ว่าจะสร้างโอกาสหรืออุปสรรคให้กับเศรษฐกิจโลกอย่างไร