ราคาทองคำแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจข้อมูลของสหรัฐฯ ที่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เพิ่มมากขึ้นก็ยิ่งเน้นย้ำถึงความน่าดึงดูดใจของทองคำในฐานะแหล่งหลบภัย
ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากที่ล่าสุดอิสราเอลประกาศว่าได้เปิดฉากโจมตีเป้าหมายกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่คุกคามการสงบศึกที่ยังไม่แน่นอน ชาวปาเลสไตน์รายงานว่าอิสราเอลโจมตีทางอากาศหลายครั้งในหลายพื้นที่ของฉนวนกาซา
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกำลังพิจารณาข้อมูลยอดขายปลีกของสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลง
แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะชี้ให้เห็นถึงการใช้จ่ายสินค้าที่อ่อนแอ แต่ก็ไม่มีสัญญาณการชะลอตัวรุนแรง และข้อมูลดังกล่าวไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงความคาดหวังมีต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม บริษัท นักลงทุน และนักเศรษฐศาสตร์ยังคงระมัดระวัง เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงและมีสัญญาณของความเครียดทางการเงินเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางความเสี่ยงของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นซึ่งจุดชนวนโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
แนวโน้มของทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกได้เน้นย้ำถึงบทบาทของทองคำแท่งในฐานะแหล่งเก็บมูลค่าในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ซึ่งมีราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 14% ในปีนี้ ธนาคารใหญ่หลายแห่งได้ปรับเป้าหมายราคาสำหรับปีนี้ให้สูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ธนาคารยูบีเอส กรุ๊ป ธนาคารล่าสุดที่ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำสู่ระดับ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในอีก 4 ไตรมาสข้างหน้า จากระดับเดิมที่ 3,000 ดอลลาร์ ต่อออนซ์นักวิเคราะห์คาดว่าสงครามการค้าโลกที่มีโอกาสยืดเยื้อมากขึ้น อาจทำให้นักลงทุนลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
นักวิเคราะห์ของธนาคายูบีเอส ระบุในรายงานถึงนโยบายภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ของทรัมป์ที่กำลังจะบังคับใช้อีกครั้งในวันที่ 2 เม.ย.นี้ อาจกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่องในตลาดต่างๆ โดยเฉพาะทองคำ
ทองคำทะลุแนวต้านสำคัญที่ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรกเมื่อวัน 14 มี.ค. จากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอลงท่ามกลางความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ สถานการ์การณ์ในตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงจาก “Trump put” ไปสู่ “Fed put” การเปลี่ยนจากการคาดหวังว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ไปเป็นการคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะเข้ามาแทรกแซงเพื่อสนับสนุนตลาด