ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในเวทีเศรษฐกิจโลก หลังประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าชุดใหม่แบบ "ภาษีศุลกากรตอบโต้" (Reciprocal Tariffs) ผ่านคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) โดยให้เหตุผลว่ามาตรการนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้น ทว่าผลกระทบกลับอาจลุกลามไปทั่วโลก
มาตรการใหม่ของทรัมป์กำหนดอัตรา "ภาษีขั้นพื้นฐาน" (Baseline Tariff) ไว้ที่ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป
รายชื่อประเทศที่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีใหม่นี้รวมถึง อังกฤษ สิงคโปร์ บราซิล ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ตุรกี โคลอมเบีย อาร์เจนตินา เอลซัลวาดอร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย
อย่างไรก็ตาม มาตรการของทรัมป์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ทำเนียบขาวระบุว่าจะมีการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมสำหรับ 60 ประเทศที่ถูกจัดให้เป็น "ตัวการร้ายแรง" (Worst Offenders) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการตั้งกำแพงภาษีสูงต่อสินค้าสหรัฐฯ หรือมีอุปสรรคทางการค้ารูปแบบอื่นๆ ที่ถูกมองว่าบั่นทอนเศรษฐกิจอเมริกัน โดยอัตราภาษีตอบโต้สำหรับประเทศเหล่านี้จะมีผลในวันที่ 9 เมษายนนี้
จีนกลายเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดของทรัมป์ โดยถูกตั้งภาษีศุลกากรสูงถึง 54% จากภาษีใหม่ 34% และของเดิมอีก 20% รองลงมาคือกัมพูชา 49%, ลาว 48%, เวียดนาม 46% และเมียนมา 45% (จากเดิม 44% เพิ่มมาอีก 1%) ขณะที่ไทยถูกขึ้นภาษีที่ 37% (จากเดิม 36% เพิ่มมาอีก 1%) ซึ่งถือว่าสูงกว่าคู่แข่งในภูมิภาคอย่างไต้หวัน 32% และอินโดนีเซีย 32%
ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในเอเชียอย่างอินเดีย 27% (จากเดิม 26% เพิ่มมาอีก 1%) เกาหลีใต้ 26% (จากเดิม 25% เพิ่มมาอีก 1%) และญี่ปุ่น 24% ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ส่วนสหภาพยุโรป (EU) ถูกเก็บภาษีที่ 20% ฟิลิปปินส์ 18% (จากเดิม 17% เพิ่มมาอีก 1%)
ที่น่าสนใจคือ แคนาดาและเม็กซิโกไม่ถูกเพิ่มภาษีศุลกากรใหม่ในรอบนี้ ทำเนียบขาวชี้แจงว่าทั้งสองประเทศจะถูกจัดการภายใต้กรอบคำสั่งบริหารก่อนหน้านี้ ที่กำหนดภาษีนำเข้าบางส่วนจากแคนาดาและเม็กซิโกไว้ที่ 25% โดยให้เหตุผลว่าเป็นมาตรการที่เกี่ยวข้องกับปัญหายาเสพติดเฟนทานิลและความมั่นคงชายแดน
นอกจากมาตรการศุลกากรข้างต้น ทรัมป์ยังประกาศเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศในอัตราสูงถึง 25% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 3 เมษายน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบหนักต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น ยุโรป และเกาหลีใต้ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
มาตรการภาษีของทรัมป์ครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่า อัตราภาษีศุลกากรที่เพิ่มสูงขึ้นอาจกระตุ้นให้เกิดสงครามการค้า (Trade War) ระลอกใหม่ และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอย่างรุนแรง