thansettakij

ทรัมป์เริ่มเก็บภาษีสะเทือนเศรษฐกิจโลก ดันต้นทุนค้าขายพุ่ง


ทรัมป์เริ่มเก็บภาษีสะเทือนเศรษฐกิจโลก ดันต้นทุนค้าขายพุ่ง

05 เม.ย. 2568 | 12:31 น.
อัปเดตล่าสุด :05 เม.ย. 2568 | 12:31 น.

ทรัมป์เริ่มเก็บภาษีนำเข้า 10% กับหลายประเทศแล้ววันนี้ พร้อมเตรียมขึ้นภาษีสูงสุดถึง 50% ในสัปดาห์หน้า เขย่าตลาดหุ้นทั่วโลก ดันต้นทุนค้าขายพุ่ง

ในวันที่โลกการค้าระหว่างประเทศยังต้องการความร่วมมือ สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับเลือกเดินคนละทาง เมื่อศุลกากรสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าระดับ "เบสไลน์" ที่ 10% กับสินค้าจากหลายประเทศทั่วโลกตั้งแต่เวลา 00.01 น. ตามเวลาสหรัฐฯ ของวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยไม่ให้มีช่วงผ่อนผัน ยกเว้นสินค้าในระหว่างขนส่งซึ่งมีเวลาผ่อนผัน 51 วัน ก่อนจะเข้าสู่การเก็บภาษีชุดใหญ่อัตรา 11% ถึง 50% กับ 57 ประเทศคู่ค้าใหญ่ในสัปดาห์หน้า

นี่คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของระบบการค้าระหว่างประเทศที่สร้างขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแต่เดิมใช้หลัก "ตกลงร่วมกัน" ในการกำหนดอัตราภาษี แต่การกระทำล่าสุดของทรัมป์เป็นการประกาศชัดว่า สหรัฐฯ กำลังสลัดกรอบเดิมทิ้งเพื่อเข้าสู่แนวทาง "ภาษีฝ่ายเดียว" เต็มรูปแบบ

"นี่คือมาตรการด้านการค้าที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา" เคลลี่ แอน ชอว์ นักกฎหมายการค้าจากสำนักงานกฎหมาย Hogan Lovells และอดีตที่ปรึกษาด้านการค้าทำเนียบขาวในยุคทรัมป์ กล่าวในการเสวนาของสถาบัน Brookings เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า อัตราภาษีเหล่านี้มีแนวโน้มจะปรับเปลี่ยนได้ตามการเจรจาของแต่ละประเทศ แต่ชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็น "แรงสั่นสะเทือนระดับแผ่นดินไหว" ที่จะเปลี่ยนรูปแบบการค้าระหว่างประเทศไปตลอดกาล

ผลกระทบของการประกาศขึ้นภาษีในวันพุธที่ผ่านมาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาษีเท่านั้น แต่ยังสั่นสะเทือนตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างรุนแรง ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ สูญเสียมูลค่าตลาดรวมกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 2 วัน ซึ่งเป็นสถิติการร่วงหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงเวลาเท่ากัน ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงแรง นักลงทุนแห่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความปลอดภัย

ประเทศกลุ่มแรกที่ถูกเก็บภาษี 10% แล้ววันนี้ ได้แก่ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร โคลอมเบีย อาร์เจนตินา อียิปต์ และซาอุดีอาระเบีย โดยไม่มีการยกเว้นสินค้าที่อยู่ระหว่างเดินทาง ยกเว้นกรณีพิเศษเฉพาะสินค้าที่ขึ้นเครื่องบินหรือเรือก่อนเวลา 00.01 น. วันเสาร์เท่านั้น ซึ่งจะต้องเดินทางถึงสหรัฐฯ ภายในเวลาเดียวกันของวันที่ 27 พฤษภาคม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

นอกจากนี้ ในวันพุธหน้า สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าชุดที่สองในอัตรา “ภาษีแบบตอบโต้” ที่มีตั้งแต่ 11% ถึง 50% โดยสินค้าและบริการจากสหภาพยุโรปจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 20% สินค้าจากจีนจะถูกเก็บภาษีสูงถึง 34% รวมกับอัตราเดิมที่มีอยู่ ทำให้ภาษีสินค้านำเข้าจากจีนพุ่งเป็น 54%

กรณีของเวียดนาม ซึ่งเคยได้ประโยชน์จากการโยกย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนหลังสงครามการค้ารอบแรก ก็ไม่รอดพ้นจากมาตรการใหม่ โดยสหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าจากเวียดนามในอัตราสูงถึง 46% แต่รัฐบาลเวียดนามก็ได้ตอบรับการเจรจาเพื่อหาทางออกกับทรัมป์แล้วในวันศุกร์ที่ผ่านมา

ส่วนแคนาดาและเม็กซิโกได้รับการยกเว้นจากมาตรการภาษีรอบใหม่นี้ เนื่องจากทั้งสองประเทศยังคงอยู่ภายใต้มาตรการภาษี 25% ที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตยาเฟนทานิลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะกับสินค้าที่ไม่เป็นไปตามกฎแหล่งกำเนิดสินค้าของข้อตกลง USMCA

สินค้าอีกกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นจากภาษีใหม่คือกลุ่มที่ถูกจัดอยู่ภายใต้ "ภาษีความมั่นคงแห่งชาติ" อยู่ก่อนแล้ว เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงสินค้ากว่า 1,000 ประเภทที่ทรัมป์ประกาศยกเว้นการเก็บภาษี โดยมีมูลค่าการนำเข้าในปี 2024 ถึง 645,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้แก่ น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ยา ยูเรเนียม ไทเทเนียม ไม้แปรรูป เซมิคอนดักเตอร์ และทองแดง อย่างไรก็ตาม ยกเว้นพลังงาน ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ เหล่านี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อพิจารณาขึ้นภาษีในอนาคตภายใต้เหตุผลด้านความมั่นคง

นโยบายภาษีชุดใหม่ของทรัมป์จึงไม่ใช่แค่การขึ้นภาษีทั่วไป แต่คือการปักหมุดแนวคิดใหม่ของสหรัฐฯ ในการเป็น "ผู้กำหนดกฎการค้าโลกฝ่ายเดียว" ซึ่งกำลังส่งแรงสะเทือนไปทั่วโลก ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ และอนาคตของการค้าเสรีในระบบพหุภาคีที่เคยเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจโลกตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา