ท่ามกลางภาวะวิกฤตมนุษยธรรมที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ความช่วยเหลือจากประเทศพัฒนาแล้วกลับกำลังลดลงอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศหั่นงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศผ่านองค์การ USAID ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง ขณะที่ยุโรปซึ่งเคยเป็นความหวังในการรับไม้ต่อ กลับถอยห่างตามไปด้วย
อิซาเบลลา เลอวิน (Isabella Lövin) รองประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาของรัฐสภายุโรป และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาระหว่างประเทศของสวีเดน อธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้น “จะส่งผลร้ายแรงต่อโลก” และวิจารณ์การตัดลดงบประมาณช่วยเหลือจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปว่าเป็นเรื่อง “น่าเสียใจ” และ “ผิดพลาดอย่างยิ่ง” พร้อมย้ำว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่สหภาพยุโรปจะเติมเต็มช่องว่างขนาดใหญ่ที่สหรัฐฯ ทิ้งไว้”
รองประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาของรัฐสภายุโรปเตือนว่า หากยุโรปต้องการเสถียรภาพและความมั่นคงในระดับโลกจริงๆ สิ่งที่ควรทำคือการลงทุนในระบอบประชาธิปไตย การขจัดความยากจน และการสนับสนุนชุมชนในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อป้องกันความขัดแย้ง การอพยพย้ายถิ่นโดยไม่สมัครใจ และความไม่มั่นคงในอนาคต ไม่ใช่ตัดงบจนทำลายรากฐานของความมั่นคงที่แท้จริง
เยอรมนี ซึ่งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือรายใหญ่ที่สุดของอียู ใช้งบประมาณช่วยเหลือเท่ากับ 0.79% ของรายได้ประชาชาติในปี 2023 แต่รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของฟรีดริช แมร์ทซ์ กลับลดงบลงถึง 1.6 พันล้านยูโรในปีเดียว และอีก 1 พันล้านยูโรในปี 2024 โดยไม่มีการรับปากว่าจะรักษาระดับขั้นต่ำตามเป้าหมาย 0.7% ที่องค์การสหประชาชาติกำหนด
ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน ก็เป็นอีกกลุ่มประเทศในยุโรปที่ลดงบพัฒนาในปี 2024 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่นอกกลุ่มอียู สหราชอาณาจักรมีแนวโน้มลดงบช่วยเหลือลงเหลือเพียง 0.23% ของรายได้ประชาชาติภายในปี 2027 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่มีการบันทึกมา
ชาร์ล็อต สเลนท์ (Charlotte Slente) เลขาธิการสภาผู้ลี้ภัยเดนมาร์ก (Danish Refugee Council: DRC) หนึ่งในองค์กรเอ็นจีโอด้านมนุษยธรรมที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษทบทวนการลดงบ เพราะแม้การลงทุนด้านความมั่นคงจะสำคัญ แต่ “ความมั่นคงไม่ใช่แค่เรื่องอาวุธ แต่ยังรวมถึงพลังอ่อน (Soft Power)” อย่างการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้วย เธอย้ำว่า หากละเลยส่วนนี้ “เราจะยิ่งเห็นความขัดแย้ง การอพยพ และความไม่มั่นคงที่มากขึ้น”
ผลกระทบจากการตัดงบของสหรัฐฯ ผ่าน USAID ที่เคยให้ความช่วยเหลือกว่า 65,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 หรือประมาณ 0.24% ของรายได้ประชาชาติ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง โดยสั่ง “แช่แข็ง” งบช่วยเหลือต่างประเทศกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ทันที ส่งผลกระทบต่อโครงการของ DRC ถึง 24 จากทั้งหมด 40 โครงการทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงินสดแก่ผู้หิวโหยในซูดาน โครงการแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็กที่แคเมอรูน หรือการเก็บกู้กับระเบิดในโคลอมเบีย
DRC ต้องเลิกจ้างพนักงาน 1,400 คน หลายคนในประเทศที่หางานใหม่ได้ยาก และประเมินว่าจะมีผู้คนกว่า 2 ล้านคนที่ไม่ได้รับความช่วยเหลืออันเป็นผลจากการตัดงบในครั้งนี้
เลขาธิการสภาผู้ลี้ภัยเดนมาร์กระบุว่า “นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 70 ปีขององค์กรที่เกิดการตัดงบอย่างกะทันหันเช่นนี้” พร้อมยกตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง เช่น กลุ่มผู้พลัดถิ่นในอัฟกานิสถานที่อยากกลับบ้าน แต่ไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีน้ำสะอาดหรือระบบสุขาภิบาลรองรับอีกต่อไป
สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่จำนวนผู้เดือดร้อนในปัจจุบันเท่านั้น DRC คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2026 จะมีผู้พลัดถิ่นเพิ่มขึ้นอีกถึง 6.7 ล้านคน ซึ่งจะไปซ้อนทับกับตัวเลข 122.6 ล้านคนทั่วโลกที่ต้องหนีภัยสงคราม ความวุ่นวายทางการเมือง หรือภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมี “ช่องว่างขนาดใหญ่” ระหว่างความช่วยเหลือฉุกเฉินกับโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนในรัฐที่เปราะบาง ซึ่งอาจไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤตแบบเฉียบพลัน แต่ก็ไม่ได้มีรัฐบาลที่มั่นคงพอจะดึงดูดโครงการลงทุน ต้องถูกทอดทิ้ง
เลขาธิการสภาผู้ลี้ภัยเดนมาร์กเตือนว่า หากทุกฝ่ายหันกลับไปสนใจเฉพาะการ “ช่วยชีวิตแบบฉุกเฉิน” โดยไม่สร้างความเข้มแข็งระยะยาวให้ชุมชน “เราก็จะวนลูปซ้ำไปมาอย่างไม่มีทางออก”
ด้านรองประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาของรัฐสภายุโรปเองยังวิจารณ์ว่า ยุโรปกำลังให้น้ำหนักกับโครงการที่ตอบสนองผลประโยชน์ของตัวเองมากเกินไป เช่น โครงการ Global Gateway ที่ถูกออกแบบมาเป็นคำตอบของยุโรปต่อโครงการ Belt and Road ของจีน โดยตั้งเป้าระดมทุนกว่า 300,000 ล้านยูโรในช่วง 5 ปี เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศกำลังพัฒนา แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือเปราะบางได้ เพราะขาดความมั่นคงสำหรับการลงทุน
เธอจึงเรียกร้องให้ยุโรป “กลับไปสู่รากเหง้าของความร่วมมือเพื่อการพัฒนา” ที่มุ่งเน้นการขจัดความยากจน การเสริมพลังให้ประชาชน และรับฟังความต้องการของชุมชน มากกว่าการตอบโจทย์ของผู้บริจาค พร้อมเสนอให้เน้นเรื่องสิทธิสตรี ประชาธิปไตย และสุขภาวะทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลทรัมป์คัดค้านโดยสิ้นเชิง
รองประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาของรัฐสภายุโรปทิ้งท้ายว่า “สหรัฐฯ กำลังสร้างพายุที่สมบูรณ์แบบ” ด้วยการตัดงบอย่างรุนแรง และการตั้งกำแพงภาษีที่ “ไร้เหตุผล” ต่อประเทศยากจน ทั้งหมดนี้กำลังทำให้โลกต้องเผชิญกับวิกฤตมนุษยธรรมครั้งใหญ่ที่อาจไม่มีใครสามารถรับมือได้ทันเวลา