ในอดีต “American Dream” คือจุดหมายปลายทางในฝันของนักเรียนจากทั่วโลก โดยเฉพาะนักเรียนจีนที่ครองแชมป์กลุ่มนักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ ต่อเนื่องยาวนานกว่า 15 ปี แต่ภาพความหวังนี้เริ่มสั่นคลอนอย่างหนัก หลังการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนำนโยบายตัดงบมหาวิทยาลัย เข้มงวดเรื่องวีซ่า และตั้งข้อกล่าวหาทางความมั่นคงกับนักเรียนจีน ส่งผลให้จำนวนผู้สมัครและผู้สนใจเรียนต่อในสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง
นักศึกษาสาขาชีววิทยา วัย 25 ปี ที่เคยตั้งใจไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกในสหรัฐฯ แต่ต้องเผชิญกับการเลื่อนการรับเข้าเรียน เพราะมหาวิทยาลัยขาดงบประมาณจากรัฐบาล ส่งผลให้เธอหันมาพิจารณาตัวเลือกในประเทศอื่นๆ แทน “ฉันเคยคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว แต่ปีนี้รู้สึกถึงผลกระทบกับตัวเองอย่างแท้จริง” เหยากล่าว
ในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้ยกเลิกรายชื่อนักเรียนมากกว่า 4,700 คนออกจากฐานข้อมูลตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกส่งตัวกลับประเทศ ขณะที่นักเรียนจีนคิดเป็น 14% ของรายงานการเพิกถอนวีซ่าทั้งหมดจากสมาคมทนายความด้านตรวจคนเข้าเมืองของอเมริกา ซึ่งสร้างความไม่มั่นใจอย่างมากในหมู่ผู้ปกครองและนักเรียนเอง
สหรัฐฯ ยังออกกฎหมายและข้อเสนอหลายฉบับที่พุ่งเป้าไปยังนักเรียนจีนโดยตรง เช่น การส่งหนังสือสอบถามไปยัง 6 มหาวิทยาลัยชั้นนำเกี่ยวกับนักเรียนจีนในสาขา STEM และการมีส่วนร่วมในการวิจัยที่ได้รับทุนจากรัฐบาลกลาง โดยคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่ดูแลประเด็นจีน ระบุว่านักเรียนจีนอาจเป็น “ม้า” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เข้าถึงข้อมูลวิจัยระดับสูง
แน่นอนว่าแนวคิดนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากทั้งนักวิชาการและกลุ่มองค์กรอิสระ อย่างคณะกรรมการ 100 (Committee of 100) ซึ่งเป็นองค์กรชาวอเมริกันเชื้อสายจีนที่มีชื่อเสียง ออกมาระบุว่ากฎหมายที่พยายามจำกัดนักเรียนจีนคือการบ่อนทำลายคุณค่าหลักของอเมริกา และจะส่งผลเสียต่อความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
ศาสตราจารย์เฉิน อี้หราน จากมหาวิทยาลัยดุ๊กในสหรัฐฯ มองว่า ความเชื่อว่านักเรียนจีนจะเร่งกลับประเทศเพื่อแข่งกับอเมริกานั้น "ไม่จริงเลย" เพราะนักเรียนจีนส่วนใหญ่ยังต้องการใช้ชีวิตและทำงานในอเมริกา พวกเขามาจากครอบครัวชนชั้นกลางที่ลงทุนด้วยเงินมหาศาลเพื่อการศึกษาในต่างแดน หวังจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนนี้ในอนาคต
แต่เมื่อความฝันเริ่มริบหรี่ ทางเลือกใหม่ๆ จึงเริ่มเปิดกว้าง มหาวิทยาลัยบอคโคนีในอิตาลีรายงานว่าได้รับคำถามจากนักเรียนจีนจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีประกาศนโยบายภาษีเพิ่มเติมของทรัมป์ ทำให้ความสนใจในการไปเรียนต่อสหรัฐฯ ลดลงราว 5% ขณะที่การค้นหาโปรแกรมปริญญาเอกลดลงถึง 12%
สถาบันในสหราชอาณาจักรก็เผชิญการแข่งขันจากมหาวิทยาลัยในจีนเอง ซึ่งในช่วงหลังมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก การได้รับทุนวิจัยที่มากขึ้น และคุณภาพของอาจารย์และงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ ทำให้นักเรียนบางส่วนเลือก “อยู่บ้านเกิด” แทนการเสี่ยงเดินทางไปสหรัฐฯ
ด้านมหาวิทยาลัยจีนในฮ่องกงชี้ว่า ระบบวีซ่าที่เอื้อต่อการทำงานหลังเรียนจบ เป็นอีกหนึ่งแรงดึงดูดสำคัญ หนึ่งในนั้นคือลี่ อดีตนักเรียนจากนิวยอร์กที่ตัดสินใจไม่เดินหน้ากระบวนการขอ Green Card และเลือกกลับมาเรียนต่อและทำงานในฮ่องกงแทน “เมื่อฉันรู้ว่ายังมีทางเลือกอื่นๆ ในชีวิต ฉันก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้อีกต่อไป” เธอกล่าว
ข้อมูลจาก Open Doors ระบุว่า ผลกระทบนี้ยังโยงไปถึงเศรษฐกิจอเมริกันโดยตรง เพราะในปี 2023 นักเรียนจีนมีบทบาทในการสร้างรายได้กว่า 14,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่เศรษฐกิจประเทศ โดยส่วนใหญ่ใช้จ่ายในด้านค่าเล่าเรียน ค่าครองชีพ และการท่องเที่ยว
แต่ในยุคที่การศึกษากลายเป็นสมรภูมิของการเมืองระดับโลก ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายของผู้นำอย่างทรัมป์ อาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความสามารถในการดึงดูด “สมอง” จากต่างแดนอย่างไม่อาจประเมินมูลค่าได้ ขณะที่ประเทศอื่นๆ กำลังเปิดประตูต้อนรับอย่างเต็มที่ และพร้อมช่วงชิงบทบาทผู้นำด้านการศึกษาและวิจัยของโลกต่อไป