ในช่วงโค้งสุดท้ายที่เหลือของปี 2566 นี้ คงต้องมารอลุ้นกันว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีจีของบ้านเราเอง จะขยายตัวได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมาคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย หรือ GDP ในปี 2566 โดยจะปรับตัวลดลงอยู่ที่ 2.7% จากประมาณการเดิมที่ 3.4% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก
หากประเมินตัวเลขดังกล่าวแล้ว ก็มีทิศทางจะเป็นไปได้ เพราะ IMF ให้เห็นว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นทั่วโลก ประกอบการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และ ปาเลสไตน์ กลุ่มฮามาส ขณะนี้ได้ขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากความตึงเครียดบริเวณชายแดนระหว่างอิสราเอล และ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอนทวีความรุนแรงมากขึ้น
นั่นถือเป็นความเสี่ยงที่ทั่วโลกอาจต้องเผชิญกับราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงเกินกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลอีกครั้ง
ขณะที่ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรม ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย (ส.อ.ท.) ชี้ให้เห็นว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่กังวลต่อแนวโน้มราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการในช่วงฤดูหนาว และปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยังยืดเยื้อระหว่าง รัสเซีย และ ยูเครน รวมถึง อิสราเอล และ ปาเลสไตน์ จะยิ่งส่งผลต่อราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น นำมาซึ่งต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้นตามาเป็นระยะ
ที่สำคัญเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอยู่แล้ว บวกกับความกังวลจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วยแล้ว ประเมินได้เลยว่า ภาคการส่งออกของไทย ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ด้วยปริมาณและมูลค่าการส่งออกจะติดลบอย่างแน่นอน
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยบวกต่อการส่งออกของไทยเวลานี้ มีแค่เงินบาทที่อ่อนค่าลง ที่เอื้อต่อการส่งออกสินค้า แต่สภาวะเศรษฐกิจโลกไม่เอื้ออำนวย ประเทศคู่ค้าหลักไม่ว่าจะเป็น จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปยังอยู่ในภาวะชะลอตัว บวกกับปัจจัยเสี่ยงใหม่จากสงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส เพิ่มเข้ามา อาจส่งผล
กระทบต่อการค้าไทยในตะวันออกกลางตามมา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ตัวเลข 9 เดือน(ม.ค.-ก.ย.66) ติดลบ 3.8
ขณะที่เศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวได้นั้น ต้องฝากความหวังไว้ที่ ภาคการท่องเที่ยว ที่ยังพอจะขับเคลื่อนไปได้บ้าง โดยเฉพาะช่วงไฮซีซันจะมาถึงนี้ แต่อะไรก็มีความไม่แน่นอนว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาตามที่มีการตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ เพราะเวลานี้นักท่องเที่ยวจีนเริ่มลดลง บวกกับสถานการณ์โลกไม่ค่อยเอื้ออำนวย จากความขัดแย้งในหลายพื้นที่
ดังนั้น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ คงขึ้นอยู่กับภาคการท่องเที่ยวเท่านั้นว่าจะสามารถฝ่าด่านสถานการณ์ต่างๆ ไปได้มากน้อยแค่ไหน และจะสามารถขับเคลื่อนการขายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ 3% ตามที่ทุกฝ่ายประเมินไว้ได้หรือไม่