วันนี้ (22 ธันวาคม 2567) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยโตเกียว (University of Tokyo) เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ หัวข้อ “การเมืองและเศรษฐกิจไทยในศตวรรษที่ 21 และนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน” โดยมีนักลงทุน สมาคมที่เกี่ยวข้องกับการค้า การลงทุน นักวิชาการ นักศึกษาญี่ปุ่น และสื่อมวลชน เข้าร่วมรับฟัง โดยกล่าวถึงภาพรวมและทิศทางของรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยไทยที่เกี่ยวพันและส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นกลับมาลงทุนในไทยต่อไป
นายพิชัย กล่าวว่า ประเทศไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กันมากว่า 600 ปี และความสัมพันธ์ทางการทูตถึง 137 ปี ที่ประเทศไทยพัฒนาได้ทุกวันนี้ก็เพราะนักลงทุนญี่ปุ่น ที่มาลงทุนในไทย ตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมาญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนอันดับ 1 ของไทย แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 นักลงทุนญี่ปุ่นหายไป แต่พอมีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ การลงทุนญี่ปุ่นก็เริ่มกลับมาใหม่
ล่าสุดได้เข้าร่วมงานครบรอบ 70 ปี เจโทรในไทย ได้พบกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นที่มาเยี่ยมกระทรวงพาณิชย์ ทุกคนแจ้งว่าจะกลับมาเป็นแชมป์นักลงทุนอีกครั้ง ซึ่ง 3 เดือนที่ผ่านมาก็เป็นจริง เพราะญี่ปุ่นกลับมาเป็นนักลงทุนอันดับ 1 ที่ไทย
"การเดินทางมาประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ต้องการให้กระแสการลงทุนจากญี่ปุ่นมาไทยโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวานได้มาประชุม ASEAN-Japan Economic Co-Creation Forum 2024 และได้มีโอกาสเจอนักลงทุนรายใหญ่ของญี่ปุ่น 10 กว่าราย ทั้ง GS Yuasa International , Extrabold Corporation , Hitachi , Scheme Verge , SIIX , Mitsubishi Electric Corporation และ Softbank เป็นต้น รวมถึง JETRO, JICA, แบงค์กรุงเทพในญี่ปุ่น สำนักงาน BOI โตเกียว และ เจโทร ไจก้า ชวนให้มาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับการยืนยันว่าจะมาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น ให้นักลงทุนญี่ปุ่นทวงแชมป์การลงทุนในไทยได้ต่อเนื่อง" นายพิชัย ระบุ
ทั้งนี้ยังได้กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจไทยโตแค่ 1.9% ซึ่งต่ำมาก ส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนจากต่างประเทศที่หายไป แต่ปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ไตรมาสที่แล้วจีดีพีขยายตัว 3% และไตรมาสนี้น่าจะขยายตัวได้ 4% แต่จีดีพีไทยต้องโตอย่างน้อย 5% ขึ้นไป ต่อเนื่องไปอีก 20 ปี ถึงจะหลุดพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง และการส่งออกไทยเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา บวกถึง 14.6% คาดว่าการส่งออกทั้งปีของปีนี้จะเติบโตได้ถึง 5%
ส่วนการลงทุนในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาสูงที่สุดในรอบ 10 ปี สิ้นปีนี้น่าจะแตะ 1 ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาลไทย มีนโยบายส่งเสริมในอุตสาหกรรมไฮเทค ที่ไทยได้รับความสนใจมากอย่าง PCB Data Center และ AI ซึ่งทางญี่ปุ่นกำลังจะมีการลงทุนเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของญี่ปุ่นในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยจะทุ่มงบประมาณมากกว่า 10 ล้านล้านเยน หรือ 2.2 ล้านล้านบา และทางไทยหวังว่าจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชนของญี่ปุ่นด้วย
ล่าสุดไทยกำลังเร่งเจรจา FTA เพื่อทำให้การลงทุนไหลเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น จากที่มีอยู่แล้ว 15 ฉบับ กับ 19 ประเทศ และล่าสุดมีกำหนดการลงนาม FTA ไทย-เอฟตา ในเดือนมกราคม 2568 ณ เมืองดาววอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และในปีหน้าจะมี FTA เพิ่มขึ้นอีกหลายประเทศที่อยู่ในระหว่างการเจรจา ได้แก่ ไทย-อียู ไทย-เกาหลีใต้ ไทย-ภูฏาน และ อาเซียน-อินเดีย
นายพิชัย กล่าวว่า ไทยต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจในหลายด้านต้องทำหลายอย่างพร้อมกัน เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นได้อย่างเต็มที่เหมือนคนผอมจะให้อ้วนทันทีคงไม่ได้ ผอมมา 10 ปี กว่าจะอ้วนได้คงต้องใช้เวลาสักพัก แต่วันนี้ รัฐบาลมาในทิศทางที่ถูกต้องและเชื่อว่าจะไปได้ด้วยดี ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายส่งเสริมการค้าที่เรียกว่า 80:20 โดย 80 % คือการส่งเสริมให้เกิดการค้าและการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่วนอีก 20% เป็นเพียงการควบคุมไม่ให้มีการทำผิดกฏหมาย
ส่วนเรื่องการเมืองของไทย รมว.พาณิชย์ ยอมรับว่า กว่า 10 ปีที่ผ่านมา มีปัญหามาโดยตลอดตั้งแต่การรัฐประหาร รัฐบาลของนายกฯทักษิณ ก่อนหน้าการรัฐประหาร เศรษฐกิจไทยโต 5-8% หลังรัฐประหารขยายตัวเพียง 3% และตั้งแต่ปี 2557 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.9% เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ทางการเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เมื่อการเมืองกลับมามั่นคง เสถียรภาพรัฐบาลก็มั่นคง เศรษฐกิจไทยก็กลับมามั่นคง คนไทยรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เห็นภาพนี้ชัดเจนเชื่อว่าจะเรียนรู้และไม่ยอมให้มีการรัฐประหารอีก
"แนวทางการบริหารงานและการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้น ตอนนี้มีเพียงการแก้ปัญหาเรื่องหนี้ภาคครัวเรือน ถ้าแก้ได้เศรษฐกิจไทยก็จะฟื้นได้รวดเร็ว” นายพิชัย กล่าว