วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ และการลงทุนในปี 2567

01 ม.ค. 2567 | 02:00 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ม.ค. 2567 | 02:11 น.

SCB WEALTH ผนึก 4 พันธมิตรทางธุรกิจ เปิดมุมมองวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2567 KTAM คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ น่าจะลดลงช่วงครึ่งหลังของปี 2567  InnovestX มองเป็นปีแห่งความไม่แน่นอน จับตา 3 เศรษฐกิจ 2 สงคราม 2 เลือกตั้ง  : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3953

SCB WEALTH จัดเสวนาในหัวข้อ “Economic & Investment Outlook 2024 ตามล่าโอกาสการลงทุน ยุคดอกเบี้ยสูง พร้อมรับมือสงครามหลายรูปแบบ” เพื่อเปิดมุมมองวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุน ในปี 2567 มีผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการลงทุน จากสถาบันการเงินชั้นนำระดับประเทศ และระดับโลกมาร่วมเสวนา ณ ธนาคารไทยพาณิชย์  สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO)  ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า ในปี 2567 SCB CIO มีมุมมองเศรษฐกิจโลกน่าจะชะลอตัวลง แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ จะไม่เหมือนกัน (Uneven slowdown) 

 

ส่วนดอกเบี้ย มองว่าจะอยู่ระดับสูงนาน และคาดว่าจะเห็น Fed เริ่มลดดอกเบี้ยช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 สำหรับความเสี่ยงที่นักลงทุนควรติดตาม ได้แก่ 1. ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโตช้าแต่เงินเฟ้อสูง (Stagflation) 2. ความเสี่ยงจากการที่ภาคธุรกิจมีหนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก มีความเสี่ยงที่จะต้องกู้ยืมใหม่ (Rollover risk) ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก 

และ 3. ความไม่แน่นอนด้านการเมืองและนโยบาย จากการเลือกตั้งในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ที่อาจนำ มาสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบาย รวมถึงความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ได้ 

 

ด้วยภาวะเช่นนี้ SCB CIO จึงแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูง ได้แก่ หุ้นกู้ Investment Grade การลงทุนในหุ้น แนะนำทยอยสะสมหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย ที่เป็นกลุ่ม Quality Growth มีกำไรเติบโตสมํ่าเสมอ มีงบดุลที่แข็งแกร่ง  

ดร.สมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กรุงไทย กล่าวว่า ปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยจะมีผลกระทบต่อการลงทุนมากขึ้น โดยตลาดเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ จะไม่ปรับขึ้นแล้ว 

และมองว่า จะเริ่มปรับลดลงในเดือน พ.ค. 2567  (ข้อมูลประมาณการ ณ วันที่ 27 พ.ย. 66) แต่เรามองว่าอาจเร็วเกินไป อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ น่าจะลดลงช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ขณะที่รูปแบบการลดดอกเบี้ยมีความสำคัญค่อนข้างมาก หากเศรษฐกิจค่อยๆ ชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยลดลงค่อยเป็นค่อยไป ก็ไม่น่าเป็นกังวล 

การลงทุนในหุ้นน่าจะยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อยู่ แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็ว ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงเร็ว อาจทำให้การลงทุนผันผวน ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงได้

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจ มองว่า ความกังวลเกี่ยวกับการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (recession) ยังไม่หายไป โดยในส่วนของสหรัฐ ความต้องการผู้บริโภคมีแนวโน้มชะลอตัวลง เริ่มมีตัวเลขที่เกี่ยวข้องติดลบ และเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงอยู่ จากการชะลอการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 

ขณะที่ ประเด็นการเมือง ในปี  2567 เป็นอีกเรื่องที่ต้องติดตาม เพราะจะมีการเลือกตั้งในหลายพื้นที่สำคัญ ได้แก่ ไต้หวัน อินโดนีเซีย อินเดีย และ สหรัฐ โดยในสหรัฐ จากสถิติพบว่า ช่วงที่มีการเลือกตั้ง 15 ครั้ง ส่วนใหญ่ตลาดหุ้นจะปรับตัวเป็นบวก มีเพียง 2 ครั้ง ที่ติดลบ คือ ช่วง ปี ค.ศ. 2000 และวิกฤตแฮมเบอเกอร์ ในปี ค.ศ. 2008

โดยรวมมองว่า การจัดพอร์ตต้องเน้นความสมดุลมากขึ้นระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้ และ หุ้น โดยในส่วนของตราสารหนี้ เน้นลงทุนเพื่อคาดหวังกระแสเงินสด 

ส่วนหุ้น เรามองว่ายังมีโอกาสสำหรับการลงทุนระยะยาว ยกเว้นกรณีที่ดอกเบี้ยปรับลดลงแรง ซึ่งในปี 2566 เราคาดว่าตลาดหุ้นโลกจะให้ผลตอบแทนประมาณ 15% ส่วนปี 2567 คาดว่าจะให้ผลตอบแทน 5-10% ซึ่งผลตอบแทนยังเป็นบวกอยู่ แต่ตลาดจะผันผวนมากขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงปลายปี  

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า ปี 2567 จะเป็นปีแห่งความไม่แน่นอน มีประเด็นสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนที่ต้องจับตา คือ “3 เศรษฐกิจ 2 สงคราม 2 เลือกตั้ง” 

โดย 3 เศรษฐกิจ ได้แก่ สหรัฐ จีน และ ไทย โดยมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐ อาจเผชิญภาวะถดถอยเล็กน้อยช่วงครึ่งปีหลัง แต่ภาพรวมทั้งปี 2567 จะเป็นบวกเล็กน้อย ส่วนเศรษฐกิจจีน มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นจากปี 2566 ได้ 

ขณะที่ เศรษฐกิจไทย ต้องติดตามมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต ว่าจะออกมาได้หรือไม่ เพราะจะมีผลกระตุ้น การบริโภค มีผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจ รวมทั้งติดตามการดำเนินการอื่นๆ ของรัฐบาล เช่น การสร้าง Soft Power และการดึงนักลงทุนต่างชาติ

ส่วน 2 สงคราม คือ สงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่เริ่มเห็นภาพการเจรจากันมากขึ้น โดยเราคาดว่าสงครามน่าจะจบได้ในไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งไม่ใช่การยุติ แต่เป็นในลักษณะที่ไม่มีพัฒนาการใหม่ๆ และ สงครามรัสเซีย-ยูเครน เพราะ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่สนับสนุนงบให้ยูเครน หากทรัมป์ มีคะแนนนิยมมากขึ้น อาจทำให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ต้องเร่งผลักดันให้เกิดการ เจรจาเพื่อให้สงครามจบ

ขณะที่ 2 การเลือกตั้ง คือ การเลือกตั้งในไต้หวัน ซึ่งมีแนวโน้มที่พรรคที่ไม่ได้ต่อต้านจีนจะได้รับเลือกตั้ง ทำให้ความเสี่ยงของสงครามมีไม่มาก และการเลือกตั้งในสหรัฐ ระหว่าง ทรัมป์ และ ไบเดน หากทรัมป์ ได้รับเลือก แม้จะดีต่อประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่จะสร้างความเสี่ยงต่อโลกด้านอื่น เช่น ด้านการดำเนินการตามเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก เพราะทรัมป์ ไม่สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน 

อีกทั้ง สงครามการค้ากลับมา และทรัมป์ยังเข้าข้างอิสราเอล ซาอุดิ-อาระเบีย แต่แบนอิหร่าน ดังนั้น อาจมีความรุนแรงมากขึ้นในตะวันออกกลางได้ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ เน้นลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ อาจกระทบหุ้นเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐ ส่วนตราสารหนี้ มีโอกาสที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (bond yield) จะเด้งขึ้นได้ หากนักลงทุนไม่เชื่อมั่นการดำเนินงานของทรัมป์

                              วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ และการลงทุนในปี 2567

นายอิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด มองว่า ในปี 2567 น่าจะเป็นปีที่ดีกับการลงทุนทั้งตราสารหนี้ และ หุ้น ประเด็นความกังวลเรื่องเงินเฟ้อจะเบาบางลง เศรษฐกิจคงจะชะลอตัว

ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยก็คงจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่จะเป็นการคงดอกเบี้ยไว้ ขณะที่การลดดอกเบี้ย คาดว่าจะเกิดขึ้น 3 ครั้ง เริ่มต้นในเดือน พ.ค. 2567 เป็นการลดอย่างช้าๆ ซึ่งปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม เพราะกระทบการลงทุนได้ ในกรณีที่ไม่เกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง เรา เชื่อว่า ความจำเป็นที่จะต้องปรับลดดอกเบี้ยเร็วคงไม่มี 

ในสภาวะนี้ เราแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ และหุ้นที่ได้ประโยชน์ในช่วงดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เรามองว่า การลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวมีโอกาสขาดทุนน้อยมาก โดยกรณีที่ลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพสูง อยู่ในระดับลงทุนได้ (Investment Grade) ก็มีโอกาสรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยรับค่อนข้างสูง และยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาด้วย ขณะที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจชะลอตัวยังมีอยู่ จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (High Yield)

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น มองว่า ควรมีหุ้น 7 นางฟ้า หรือ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 บริษัท ในตลาดหุ้นสหรัฐ อยู่ในพอร์ต เนื่องจากกลุ่มนี้ยังมีการเติบโตที่ดีมีคุณภาพ (Quality Growth) ได้ประโยชน์จากกระแสการตื่นตัว และลงทุนด้าน AI นอกจากนี้ ยังมีเงินสดในมือมาก มีต้นทุนทางการเงินตํ่า หากเศรษฐกิจไม่แย่มาก กลุ่มนี้ก็มีโอกาสทำผลการดำเนินงานโดดเด่นกว่าตลาด 

ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ตลาดหุ้นจีนยังมีปัญหาด้านโครงสร้างและเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดหุ้นอื่นเช่น อินเดีย ยังมีความน่าสนใจมากกว่าจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยังมีการเติบโต และยังมีตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่น่าสนใจ เพราะมีเงินลงทุนไหลเข้าไปอย่างต่อเนื่อง จากการปฏิรูปโครงสร้างธรรมาภิบาล มีโครงการซื้อหุ้นคืน สนับสนุนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROEs) และสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) ที่น่าจะเริ่มกลับมาดีขึ้นในปี 2567 หากไม่มีเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้การระดมทุนนอกตลาดกลับมาเพิ่มขึ้น       

นายวโรฤทธิ์ จีระชน Head of Investment Research บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะค่อยๆ ลดดอกเบี้ยนโยบายปลายปี 2567 เศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะชะลอตัวลงอย่างช้าๆ 

ส่วนความเสี่ยงที่เริ่มเพิ่มขึ้น ได้แก่ เริ่มเห็นผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ช่วงที่ผ่านมา ทำให้รายจ่ายดอกเบี้ยของบริษัทสหรัฐเพิ่มขึ้น โดยบริษัทที่มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนสูง ความสามารถทำกำไรตํ่า จะได้รับผลกระทบก่อน ขณะที่ประเด็นความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จากความกังวลเรื่องการบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สิน เป็นสิ่งที่ต้องติดตามใกล้ชิด

ทั้งนี้ ในช่วงที่ Fed เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ตราสารหนี้ระยะยาวได้ประโยชน์มากกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น จาก yield ที่มีแนวโน้มปรับลดลง โดยก่อนการลดดอกเบี้ย เป็นช่วงที่ควรเข้าสะสมตราสารหนี้ระยะยาว เพื่อรอรับประโยชน์จาก yield ที่ลดลงในอนาคต 

รวมทั้ง ควรเลือกตราสารหนี้คุณภาพสูง ที่ให้อัตราดอกเบี้ยในระดับสูง และมีความสามารถบริหารความเสี่ยงจัดการสินทรัพย์และหนี้สินได้ดี ส่วนการลงทุนในหุ้นช่วงที่ Fed ลดดอกเบี้ย หุ้นเติบโตจะทำผลงานชนะหุ้นคุณค่าได้