กาลครั้งนู้นนานจนขี้เกียจจำวันเกิดเหตุ มีป้ายประกาศขนาดใหญ่ติดหราใจกลางเมืองหลวง มีข้อความประกาศกึ่งสั่งเพื่อโน้มน้าวให้แต่ละคนมีใจใฝ่ร่วมมือ ว่า
“เขตปลอดขยะ”
เท่าที่พบเห็นในห้วงเวลานั้น ก็ปรากฏว่าในพื้นที่นั้นยังคงมีเศษขยะจำพวกกระดาษห่อลูกอมฝานั่นถุงนี่เกลื่อนกลาดรายทาง ผมเจอเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ก็ถือโอกาสถามว่า
“ท่านครับ เรามีป้ายติดไว้หลายที่ว่า เขตปลอดขยะ แต่ยังมีพวกขยะเร่รอนปลิวว่อนกันอื้อ”
ท่านหัวหน้าเขต อารมณ์ดี ยิ้มแก้มป่องแล้วก็ตอบผมว่า
“อ๋อ นั่นไม่ใช่ขยะ มันเป็นมูลฝอย” (ฮา)
วันหน้าใครทำตัวโหลยโถ้ยระดับจิ๊บๆ โปรดเฉ่งให้ถูกหลักว่า
“ไอ้พวก มูลฝอยสังคม เอ๊ย!” (ฮิ้ววววว!)
โดยทั่วไปถ้าเจอคนที่พลิ้วแบบนี้เราก็จะแซวว่า น่าจะตั้งให้เป็นโฆษกพรรคการเมือง แต่ถ้าฝ่ายบุคคลพาเข้าแคมป์คุณธรรม มีโอกาสกลายพันธุ์เป็น หัวหน้าชั้นดี ได้เลย ทักษะที่มีติดตัวเขามาหาได้ยาก ไหวพริบ อารมณ์ขัน การรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำ จับคลึงสมองสักพักทัศนคติก็น่าจะเปลี่ยนได้บ้าง ท่านใดอยากหัวไวแบบนี้ ผมเสนอให้ ฝึกตีความ ƒ แบบ คือ ตีความตามความหมายของศัพท์ ตีความตามรากฐานของคำ และ ตีความนอกกรอบแปลตามใจชอบกะเอาฮาโดยมีสาระแฝง
หัวข้อทอล์คโชว์เขาตั้งมาว่า สังคมไทยเจริญไวกว่าที่คิด ตัวอย่างจริงจังหาไม่ยาก มุกลากออกนอกวง ใช่ว่าจะผลิบานไวสมใจนึก นั่งคิดอยู่พักใหญ่ก็ได้แง่ว่า ไวไว คือ บะหมี่หนึ่งซอง ไว เท่ากับ บะหมี่ครึ่งซอง ดังนั้น เจริญไว หมายถึง พัฒนาได้ครึ่งหนึ่งของงบที่ตั้งไว้ (ฮา) ทำงานให้ไว คือ ทำงานครึ่งแรง!
การคิดนอกกรอบ ไม่ใช่ชุดความคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในยุคปกติวิถีใหม่ เพราะว่า ปกติวิถีใหม่ ก็ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ถอดด้าม วิกฤตการณ์อาจจะมีต้นตอหรือรูปแบบต่างกัน แต่เนื้อหาของมันเลวร้ายเหมือนกัน คือ เศรษฐกิจฝืดเคือง กับ ผู้คนล้มตาย
ปกติวิถีใหม่ คือ ความเปลี่ยนแปลงด้านพื้นฐานในการใช้ชีวิต ตราบใดที่ชีวิตเรายังต้องผูกพันอยู่กับ อนิจจัง คือ เอาแน่ไม่ได้ เราต้องรู้จักปรับตัวยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเสมอ
การรู้จักวิธีประยุกต์ยืดหยุ่นทุกด้าน ปรับแง่คิด เปลี่ยนคำพูด ดัดแปลงวิธีการทำ เป็นเรื่องที่เราควรเรียนรู้อยู่เสมอ สำคัญตรงที่ต้องคิดสะอาด การคิดนอกกรอบ กับ การคิดนอกลู่นอกทาง ห่างกันแค่เส้นแบ่ง เรื่องนี้อย่ามองข้ามแต่อย่าตามใจ หัวหน้างานท่านใดมองข้าม การคิดนอกกรอบ จะเอาตัวเองให้รอดก็คงจะยาก
ท่านมะกะโท ได้เงินมาเพียงหนึ่งเบี้ยก็คิดว่า เงินเบี้ยเดียวนี้จะทำกระไรดี เอาไปซื้อพันธุ์ผักกาดมาปลูกดีกว่า ว่าแล้ว ท่านมะกะโท ก็เอาเงินเบี้ยเดียวไปซื้อพันธุ์ผักกาด คนขายบอกว่า เบี้ยของเจ้าเบี้ยเดียวนี้ เรามิรู้ว่าจะตวงให้อย่างไร ท่านมะกะโท เสนอว่า เบี้ยของเราเบี้ยนี้ เราเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดแค่ติดนิ้วเดียวก็พอแล้ว คนขายจึงว่า เอาเถอะ
ท่านมะกะโท อ้าปากอมนิ้วมือให้น้ำลายชุ่มนิ้วแล้วก็จิ้มลงในกระบุงใส่เมล็ดพันธุ์ผักกาด ผู้ขายนึกสรรเสริญอยู่ในใจว่า บุตรรามัญผู้นี้มีปัญญาฉลาดนัก นานไปจะได้เป็นผู้ดีเป็นมั่นคง
การคิดนอกกรอบ เริ่มต้นด้วยการ แปลความ แปลเจตนา แปลผล ปิดจ๊อบด้วยการดำริแล้วทดลองวิธี
การ์ตูนฝรั่งเล่าเรื่องด้วยภาพดีมาก พี่คนโตสูง 90 ซ.ม. น้องคนกลางสูง 75 ซ.ม. เจ้าตัวเล็กสูง 60 ซ.ม. ทั้ง 3 คนยืนดูเบสบอลกันอยู่ แต่ละคนยืนอยู่บนลังที่มีสัดส่วนสูงเท่ากัน เจ้าตัวเล็กยืนอยู่บนลังแต่ยังสูงไม่พอ พี่คนโตจึงสละสิทธิ์เอาลังไปเสริมให้เจ้าตัวเล็ก เจ้าตัวเล็กยิ้มแป้น ขอบคุณพี่คนโต ยืนดูเบสบอลเห็นทั่วสนาม พี่คนโตไม่ต้องยืนบนลังก็สูงพอที่จะมองได้ทั่วสนาม
ถ้า พี่คนโต จะ หัวหมอ ทำให้ถูกต้อง (Do The Right Thing) อ้างว่า มันเป็นสิทธิของผมโดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ทำไมผมจะต้องสละสิทธิ์ให้น้องด้วยล่ะ นั่นมันก็ถูก แต่ว่า วิญญาณของความเป็นมนุษย์ มันหล่นหายไป
พี่คนโต ตัดสินใจเหมาะสม ทำให้ถูกเรื่อง (Do The Thing Right) เขาไม่ได้ทิ้ง Comfort Zone (พื้นที่ปกติสุข) เขาแค่กล้าที่จะเผื่อแผ่พื้นที่ Comfort Zone!