หลังจากที่ผมเขียนเรื่องบ้านพักคนชราที่ไต้หวันไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ปรากฏว่ามีท่านผู้อ่านได้สนใจ ส่งไลน์มาถามไถ่และให้ความเห็นมาหลายท่าน ที่สำคัญมีอยู่ท่านหนึ่งบอกว่า ประเทศไทยเรามีเจ้าสัวใหญ่อยู่หลายท่าน น่าจะลงมาทำโครงการที่เป็นประโยชน์เช่นนี้บ้างนะ ผมก็ตอบกลับไปว่า ไม่ต้องรอเจ้าสัวก็ได้นะครับ ใครที่พอจะมีกำลัง ถ้าสนใจอยากจะลงมือทำ ก็สามารถทำได้เลย หากต้องการคำแนะนำ ผมยินดีที่จะชี้แนะเต็มที่เลยครับ
ที่หมู่บ้านวัฒนธรรมฉางเกินหย่างเซินเหวินฮั้วชุน หรือบ้านพักคนวัยเกษียณ ฉางเกิน มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย บนที่ดินที่มีเนื้อที่ประมาณ 17 เฮกเตอร์ ถ้าคำนวณตามแบบไทยๆ ก็ประมาณ 1,000ไร่ ตามที่ผมได้เข้าไปเยี่ยมชมมานั้น ปกติเขาจะเปิดให้บุคคลภายนอกที่สนใจ เข้าไปดูการบริหารจัดการได้ แต่ต้องมีการขออนุญาตก่อน ต้องขอบคุณ Mr.Sho บุตรชายของ Mr.Hwang เพื่อนนักเรียนของผมสมัยเรียนมัธยม ที่จัดการจองวันเวลาให้ จึงได้มีโอกาสเข้าไปดูอย่างละเอียด ในอาคารต่างๆ นั้น มีที่หนึ่งที่น่าสนใจคืออาคารสันทนาการ ที่เขาจัดให้มีห้องบอลลูมใหญ่ ไว้สำหรับการแสดงต่างๆ เสียดายที่ในวันที่ผมไปเยี่ยมชมนั้นช้าไปนิด เพราะเขาเพิ่งจัดการแสดงคอนเสิร์ตไปหมาดๆ แต่ที่นี่นอกจากการแสดงดนตรีแล้ว เขายังจะมีการเชิญวิทยากรภายนอก มาปาฐกถาให้ความรู้ต่างๆเป็นประจำด้วย นอกจากนี้เขายังมีห้องประชุมเล็กอยู่อีก เท่าที่เห็นก็มีอยู่หลายห้องเช่นกันครับ เขาจัดให้เป็นการประชุมสัมมนากันอยู่บ่อยครั้งเช่นกันครับ
นอกจากนี้แล้ว ยังมีห้องเกมส์รูม ผู้คนชาวไต้หวันเขานิยมเล่นไพ่นกกระจอกกันครับ จะเห็นคนแก่จับกลุ่มกันสี่ขา นั่งเล่นไพ่นกกระจอกกันอย่างเพลิดเพลินไปเลย นอกจากนี้ยังมีห้องดนตรี ที่กลางห้องยังมีเครื่องเปียโนอยู่หนึ่งหลัง แล้วจะจัดเก้าอี้นั่งล้อมเป็นวง สำหรับผู้สูงอายุที่มีความสนใจร้องเพลงกันครับ ก็น่ารักดีครับ ยังมีห้องเรียนสำหรับกลุ่มชาวผมสีเงินด้วย เขาจะเรียนกันสบายๆ ไม่เคร่งเครียด เห็นครูผู้สอนได้ทำการสอนอยู่ จังหวะจะโคนในการสอน ดูออกจะคล้ายๆ การสอนเด็กอนุบาลยังไงยังงั้น แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ ดั่งคำที่ว่า “คนแก่พอแก่ตัวไป ก็จะกลายเป็นเด็กทารก” ก็คงไม่ผิดเพี้ยนกระมั้ง สักวันเถอะ ผมก็คงจะเป็นเฒ่าทารกแน่ๆ เลย
พอเขาพาเดินไปเยี่ยมชมโซนร้านค้า ก็จะเห็นร้านซักรีด ที่มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญเรียงรายอยู่หลายเครื่องเลยครับ ถัดไปก็จะเป็นร้านเสริมสวย ที่น่าจะเป็นการเชิญผู้ประกอบการจากภายนอกมาเปิดร้านในโครงการแน่ๆ เลยครับ เพราะดูช่างทำผมที่ค่อนข้างจะกระฉับกระเฉง ไม่เหมือนมือสมัครเล่นครับ ยังมีร้านสะดวกซื้อที่เขาให้ผู้ประกอบการร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น เข้ามาเปิดร้านที่นี่ นอกจากนี้ยังมีร้านหนังสือ ร้านกาแฟ อยู่ในบริเวณนี้หมด ซึ่งผมก็กระซิบเบาๆ ว่า อีกไม่เกินสิบปี ร้านหนังสือคงจะล้มหายตายจากไปแน่นอน เพราะคนรุ่นเก่าจากไป คนรุ่นที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ต่อไป คงจะสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้หมดแล้ว เขาคงไม่มาหาหนังสือดูแล้วมั้ง ปรากฏว่ามีเสียงตอบมาว่า คงไม่ตกรุ่นง่ายๆ หรอก เพราะคนไต้หวันยังคงมีความนิยมอ่านหนังสืออยู่อย่างเหนียวแน่นครับ
จากนั้นเราก็ไปเยี่ยมชมห้องอาหาร ซึ่งเราเข้าไปดูจนเห็นภายในครัวเลย เพราะเขาทำเป็นครัวเปิด ดังนั้นเราจะมองจากภายนอกก็เห็นความสะอาดภายในครัวได้ง่ายดายครับ ที่น่าสนใจคือ อาหารที่เขาทำให้ผู้สูงอายุ ที่เห็นเป็นอาหารจีนหลากหลายมณฑล ซึ่งอาหารแต่ละมณฑลมีความแตกต่างกันออกไป ตอนแรกผมเข้าใจว่าอาหารดีจังเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ขาดทุน แต่คนที่พาชมเขาบอกว่า อาหารที่เสิร์ฟให้ผู้สูงอายุ ถ้าทางผู้สูงอายุต้องการแบบเป็นชุดก็ราคาหนึ่ง ถ้าต้องการเพิ่มเติมก็ต้องสั่งและจ่ายเพิ่ม ผมถึงได้ถึงบางอ้อว่า ที่แท้เขาคิดเงินเพิ่มนี่เอง ราคาที่จ่ายตามแพ็คเกจนั้น เขาคิดแต่ค่าที่พัก ไม่ได้รวมกับค่าอาหารนี่เอง ถึงได้ทำได้ดีดูมีราคาครับ เพราะถ้ารวมเข้าไปในแพ็คเกจ ไม่น่าจะดีได้ขนาดนี้
ส่วนสุดท้ายผมได้สอบถามราคาค่าที่พัก ห้องพักเขาจะมีหลากหลายขนาด แต่ละขนาดราคาก็จะแตกต่างกัน ราคาเริ่มต้นที่ขนาด 13-15.8 ผิงไต้หวัน( 1 ผิงเท่ากับ 3.3057 ตารางเมตร) ราคาค่าพักต่อเดือนประมาณ 20,000-24,000 NT ก็ประมาณ 24,000-26,000 บาท แต่ถ้าขนาด 20-23.6 ผิงไต้หวัน ราคาค่าพักต่อเดือนประมาณ 29,500-34,000 NT ส่วนค่าเงินประกันการเข้าพัก ก็ประมาณ 10 เดือนของค่าเช่า นี่เป็นราคาขั้นพื้นฐานนะครับ ไม่รวมค่าอาหาร ค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า และค่าอื่นๆ อีกจิปาถะ ผมคิดแล้วประมาณไม่ต่ำกว่า 7-8 หมื่น NT แน่นอนครับ นอกจากนี้หากจะมีการทดลองมาอยู่ดูก่อน ทางสถานที่เขาก็จะมีห้องพักทดลองให้อยู่ โดยจะคิดค่าทดลองพักคืนละ 17,00-1,900 NT ครับ นอกจากนี้เขายังมีบริการให้ญาติหรือผู้ติดตามมานอนเป็นเพื่อนได้ และยังมีห้องพักของโรงแรมไว้คอยบริการด้วยครับ
อย่างที่ผมได้เขียนไว้ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าเท่าที่ผมได้ไปดูงานมาหลายประเทศ ที่นี่ถือว่าดีที่สุดและน่าสนใจมากที่สุดเลยครับ อาทิตย์หน้า ผมจะพาไปดูอีกที่หนึ่ง ซึ่งก็มีมาตรฐานที่ดีเช่นเดียวกัน แตกต่างกันบ้างเล็กน้อยครับ แต่ก็น่าศึกษามากเช่นกันครับ