ส่องอนาคตทางการเมืองของ“ลุงตู่”

18 ก.ย. 2564 | 23:00 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย... ว.เชิงดอย

+++ สถานการณ์โควิด-19 สำหรับประเทศไทย ข้อมูล ณ วันที่ 15 ก.ย.2564 พบว่า มีผู้ป่วยผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,798 ราย แยกเป็นทั่วไป 13,347 ราย และจากเรือนจำ 451 ราย หายป่วยกลับบ้าน 14,133 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสม ตั้งแต่ 1 เม.ย.2564 จำนวน 1,391,477 ราย หายป่วยแล้ว 1,249,603 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 144 ศพ ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 14,671 ราย ส่วนยอดผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด ระหว่างวันที่ 28 ก.พ.- 14 ก.ย.2564 พบว่า มีผู้ฉีดวัคซีนสะสมทั้งหมด จำนวน 41,647,101 โดส …การที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดจากระดับกว่า 1.4 หมื่นรายต่อวัน มาอยู่ที่กว่า 1.3 หมื่นรายต่อวัน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตที่อยู่ต่ำว่าระดับ 150 รายต่อวัน ถือเป็นสัญญาณดีสำหรับประเทศ ช่วยให้ลดความตึงเครียดของทั้งบุคคลากรทางการแพทย์ และประชาชนคนไทยทั้งประเทศลงได้ และถ้าแนวโน้มยอดผู้ติดเชื้อใหม่ และผู้เสียชีวิตลดลงเรื่อย ๆ ก็จะน่ายินดียิ่งขึ้น


+++ มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเตรียม “เปิดประเทศ” เพื่อรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย โดยทาง พิพัฒน์  รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้หารือร่วมกับ  พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชกรุงเทพมหานคร(กทม.) ถึงแผนการเตรียมเปิดพื้นที่กทม.รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งกทม.มีความพร้อมที่จะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ขณะนี้การฉีดวัคซีนในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังไม่ครบตามเกณฑ์ 70% ได้ทุกเขต ซึ่งคาดว่า ต้นเดือนตุลาคมนี้ ประชาชนในพื้นที่จะได้รับวีคซีนครบทุกเขต ประกอบกับต้องเว้นระยะเวลาการฉีดวัคซีนเข็ม 2 แอสตร้าเซนเนก้า ที่ใช้เวลา 8-12 สัปดาห์ จึงสรุปร่วมกันว่า กรุงเทพฯ จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วมาเที่ยวไทยได้ โดยไม่กักตัว ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป และจะเปิดให้เที่ยวพร้อมกันทุกเขตในกรุงเทพฯ เพื่อความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว  

+++ ส่วนอีก 4 จังหวัด คือ หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชะอำ จ.เพชรบุรี อ.เมือง อ.แม่ริม อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ อ.บางละมุง (พัทยา) - สัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อมเปิด 1 ตุลาคมนี้ พื้นที่ไหนพร้อมก็เดินหน้าเปิดไปก่อน ...สำหรับแผนการเปิดรับรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น รัฐบาลได้กำหนดไว้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก สถานที่มีความพร้อม เริ่ม 1 ต.ค. 64 ส่วนระยะสอง พื้นที่อื่นๆ  15 ตุลาคม หรือ 1 พฤศจิกายนนี้ ...ก็หวังว่าแผนการ “เปิดประเทศ” ที่ค่อยเป็นค่อยไป จะประสบความสำเร็จโดยไม่มีอุปสรรคใดมาขวางกั้น เพราะคนไทยเดือดร้อนจาก “ไวรัสมฤตยูโควิด-19” มานานจะสองปีเข้าไปแล้ว ซีดเซียวกันทั้งประเทศหมดแล้ว  


+++ จากเรื่องความเดือดร้อนของคนไทยทั้งประเทศ หันไปดูปัญหาใน “รัฐบาลลุงตู่” โดยเฉพาะเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาลว่า จะอยู่ต่อไปจนครบเทอม 4 ปี หรือถึง 23 มี.ค.2566 หรือไม่ มีการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงที่ทำงานให้กับรัฐบาล ได้สรุปจุดอ่อนไหวของรัฐบาลและอนาคตทางการเมืองของ “นายกฯ ตู่” เอาไว้คือ 1.การตัดสินใจปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากรมช.เกษตรฯ มีผลกระทบกับรัฐบาลมากพอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องสนับสนุนในสภา โดยเฉพาะการผ่านกฎหมายสำคัญ และ “กฎหมายเกี่ยวด้วยการเงิน 2.หาก “ยุบสภาเร็ว” โดยไม่แก้เกมการเมืองในช่วงนี้เลย โอกาสชนะเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลอีกรอบ เป็นไปได้ยากมาก

+++ 3.“นายกฯ” ต้องยื้อเวลาของรัฐบาลชุดนี้ให้นานที่สุด เพื่อปรับโครงสร้างพรรคพลังประชารัฐ พรรคใหม่ที่อาจตั้งขึ้นมา และสร้างความได้เปรียบทางการเมืองจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น โดยมี “ดีล” กับพรรคการเมืองบางพรรค เพื่อจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง (หากทำไม่ได้ ก็ยุบสภาไม่ได้ หรือไม่ควรไปต่อ) 4.ต้องสร้างหลักประกันว่า แม้อำนาจรัฐเปลี่ยนมือ ก็จะไม่ใช่ “ฝ่ายตรงข้าม” ที่สนับสนุน “คนแดนไกล” เข้ามามีอำนาจ และ 5.ต่อเนื่องจากข้อ 4 ถ้าไม่มีความแน่นอนเรื่อง “อำนาจรัฐเปลี่ยนมือ” แล้วอำนาจไปตกอยู่กับฝ่ายตรงข้าม “นายกฯ” อาจไม่มีทางเลือก คือต้องสู้ต่อ หรือจะมีทางเลือกอื่นที่คาดเดาไม่ได้ ประเภท “มือที่มองไม่เห็น” มาทำให้การเมืองพลิกไปอีกทาง


+++ นี่คือการประเมินของฝ่ายความมั่นคง แต่หากดูสัญญาณจากทั้งในพรรคพลังประชารัฐ และนอกพรรค จะพบว่า “บิ๊กป้อม- พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ยังเฉย ยังนั่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และยังเป็นศูนย์กลางของแกนนำกลุ่มต่างๆ ในพรรคแบบ “ตัวจริงเสียงจริง” ยิ่งล่าสุด “บิ๊กป้อม” ก็ได้แต่งตั้ง “บิ๊กน้อย- พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” เตรียมทหาร รุ่น 11 ที่เป็นคนใกล้ชิด เข้ามานั่งเป็น “ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ” ด้วยแล้ว การที่ “นายกฯ” จะเข้าไปรื้อโครงสร้างพรรคพลังประชารัฐ ย่อมไม่ใช่เรื่องหมูๆ  


+++ เห็นล่าสุด “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ออกมาเปิดเผยผลสำรวจประชาชน จำนวน 1,310 คน เกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางการเมืองที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เป็นสมัยสุดท้าย ผลปรากฏว่า ส่วนใหญ่ 32.06%  เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะดำรงตำแหน่งนายกฯ ครั้งนี้เป็นสมัยสุดท้าย ขณะ 30.53% เห็นว่าเป็นไปได้มาก 22.60% เห็นว่าเป็นไปไม่ได้เลย และ10.84% บอกว่า ไม่ค่อยเป็นไปได้ และ 3.97%  ไม่ทราบ-ไม่ตอบ-ไม่สนใจ ...นัยยะจากโพลดังกล่าวหากจะแปลความก็น่าจะบ่งบอกได้ว่า ประชาชนเริ่มเบื่อ “ลุงตู่” เข้าให้แล้ว ...หาก “ลุง” ยังอยากเดินบนถนนการเมืองต่อไป ก็คงต้อง “เร่งปรับตัว” และเร่งสร้างผลงานให้เข้าตาประชาชน ปรับตัวเข้าหาส.ส.ให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะบริหารประเทศชาติแล้ว ยังต้องบริหารเสียงส.ส.ที่สนับสนุนรัฐบาลในสภาด้วย   


+++ ปิดท้าย...ขอแสดงความยินดีกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ที่ได้รับรางวัล "ยอดเยี่ยม" ในการประเมินองค์กรธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน (Low Carbon and Sustainable Business Index: LCSi) ประจำปี 2564 โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. สะท้อนความมุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งการเพิ่มสัดส่วนใช้พลังงานทดแทน การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และฉลากลดโลกร้อนแล้วมากกว่า 790 รายการ...