ระยะนี้จะเห็น นายทักษิณ ชินวัตร ที่พอใจอยากให้คนเรียกชื่อตนเองว่า "นายโทนี่" ปรากฏตนเป็นข่าวบ่อยๆ และถี่ขึ้น ด้วยการออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย และคอยหาจังหวะโอกาสดิสเครดิต ถล่มรัฐบาล 3 ป. แทบทุกครั้งที่มีโอกาส บางข่าวบางกระแสยังรายงานด้วยว่า เขาน่าจะอยู่เบื้องหลังความพยายามล้มรัฐบาล 3 ป. ในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ฯ ด้วยซ้ำ โดยการร่วมมือกับใครหลายๆ คน เป็นเหตุให้มีกบถในพรรคพลังประชารัฐ จนมีการปลดรัฐมนตรีของพรรคหลุดจากตำแหน่ง ดังปรากฏตามข่าว
เหตุใดทักษิณจึงพยายามสร้างเรื่องให้ตนเป็นข่าวอยู่ตลอกเวลา หาประเด็นให้คนหันมาสนใจตน ทั้งๆ ที่เขาได้หลุดพ้นจากตำแหน่งนายกฯ และต้องหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศร่วม 15 ปีแล้ว หรือ ถ้านับตั้งแต่มีพรรคไทยรักไทย ก็ล่วงเลยเวลามาถึง 20 ปี แล้ว เหตุใดทักษิณจึงยังไม่ยอมยุติบทบาททางการเมืองของตนเองเสียที
แต่ดันออกมาเสนอหน้าทำเป็นสั่งสอน ขอร้องกราบพี่น้อง 3 ป. ให้ยุติบทบาททางการเมือง ทั้งที่ตนเองก็วางมือไม่ได้ และจมไม่ลงจนบัดนี้ ถึงขนาดมีประชาชนเรือนแสนเรือนล้านทั่วประเทศ ออกมาขับไล่ให้พ้นตำแหน่ง เพราะทุจริตโกงกินประเทศ ยังดื้อด้านกอดเก้าอี้จนถูกปืนจี้คอ หมดอำนาจไม่มีทางกลับ ก็หาได้มีความสำนึกรับผิดชอบ หรือคิดจะวางมือทางการเมืองแต่อย่างใด ไม่ทราบทำไมใยจึงกล้าเสนอหน้าทำตนมาสั่งสอนผู้อื่น
การที่ทักษิณต้องดิ้นรนและพยายามสร้างข่าวปั่นกระแส เรียกราคาให้กับพรรคเพื่อไทยเช่นนี้ ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับ เพราะใครๆ ก็รู้ว่าพรรคการเมืองพรรคนี้ เป็นสมบัติประจำตระกูลทักษิณนั่นเอง และการที่ต้องกระโดดออกมายามนี้ จึงเป็นเพียงเกมการเมืองตื้นๆ พื้นๆ ธรรมดา สำหรับคนที่สนใจและติดตามการเมืองแบบทักษิณมาโดยตลอด คงไม่ยากเกินที่จะเข้าใจ กระบวนท่าเช่นนี้ มาจากสาเหตุไม่เกินไปจากนี้คือ
1. พรรคเพื่อไทย ที่ทักษิณสนับสนุนหรือที่ตระกูลชินวัตร เป็นเจ้าของตัวจริงเสียงจริง กำลังตกอยู่ในฐานะเพลี่ยงพล้ำในทางการเมือง ตกอยู่ในภาวะถดถอยเสื่อมศรัทธา การไม่สามารถเป็นพรรคฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล ตกอยู่ในฐานะฝ่ายค้าน ย่อมต้องอดอยากปากแห้งเป็นธรรมดา เมื่อไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ จะแสวงหาประโยชน์ใดๆ โดยใช้อำนาจทางการเมืองในอดีตย่อมไม่ได้ นายทุนพรรคจึงต้องแบกรับภาระที่มีแต่จ่าย ไม่มีรับ หากเป็นฝ่ายค้านอีกสมัย คงต้องรับภาระการจ่ายหนักขึ้น
2. พรรคเพื่อไทย แตกออกเป็นหลายก๊กมีการแยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่หลายคน ไม่ว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, ดร.โภคิน พลกุล กับพวก หรือแม้แต่ คุณจาตุรนต์ ฉายแสง และคนอื่นๆ อีกหลายคน ต่างคนต่างดังแล้วแยกวง ต่างคนต่างหันไปสร้างดาวกันคนละดวง จะหันมาจับมือร่วมงานกันอีกหรือไม่ เป็นเรื่องไม่แน่นอน เพราะแก้วมันร้าวเสียแล้ว จึงยากจะประสาน
3. สำหรับคนรุ่นใหม่ แกนนำคนเสื้อแดง หรือประชาชนคนอีสาน ที่เคยถูกหลอกใช้ให้มาเผาบ้านเผาเมือง เผาศาลากลาง ที่ต้องติดคุกติดตะรางคนละหลายปี ต่างได้ลิ้มรสและซาบซึ้งดี ที่เคยรับใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ว่ามีชะตากรรมอย่างไร ล้วนตีตนออกห่างโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ส่วนมากที่สุดไม่รู้จักคนชื่อ ทักษิณ แต่รู้จัก ปิยบุตร-ธนาธร และพรรคก้าวไกลมากกว่า นี่ก็เป็นหอกข้างแคร่พรรคทักษิณ ที่ยังฝันและเคลิ้มถึงชัยชนะในอดีต โดยไม่มองปัจจุบันที่เปลี่ยนไป
4. ภูมิทัศน์ทางการเมืองในสถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก การดำรงอยู่ในอำนาจของรัฐบาล 3 ป. มีความมั่นคงต่อเนื่อง เป็นผู้กุมอำนาจรัฐและกลไกราชการมายาวนาน หลายนโยบายที่ดูแลเอาใจใส่ประชาชน และการแก้ไขปัญหาช่วงวิกฤติโควิด ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ประชาชนยอมรับ การพัฒนาประเทศและริเริ่มโครงการพัฒนา สาธารณูประโภคพื้นฐานต่างๆ ยังก้าวเดินต่อไปและประสบผลสำเร็จหลายโครงการ
และที่สำคัญประชาชนยังมีความนิยมต่อตัวนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากกว่านักการเมืองคนอื่นๆ จากผลสำรวจของสำนักโพลล์ต่างๆ แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่ถูกประชาชนเรือนแสนเรือนล้านออกมาขับไล่
5. พรรคการเมืองที่ร่วมกันเป็นรัฐบาลปัจจุบัน ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ,ประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย, ชาติไทยพัฒนา และพรรคการเมืองอื่นๆ ต่างมีความเข้มแข็ง มีพื้นที่ทางการเมืองที่แน่นอนของตน จึงไม่ง่ายที่พรรคทักษิณจะช่วงชิงหรือได้คะแนนแบบแลนด์สไลด์ เหมือนอดีตที่ทักษิณกุมอำนาจรัฐ สั่งราชการ ใช้ กกต.เป็นเครื่องมือ จ้างพรรคเล็กพรรคน้อยเป็นเครื่องมือได้ และมีกระสุนไม่อั้น ในพรรคยังเป็นปึกแผ่น มวลชนยังสนับสนุน แต่ปัจจุบันหาเป็นเช่นนั้นไม่
6. ประชาชนในปัจจุบัน ต่างรู้เช่นเห็นชาติการเมือง "ระบอบทักษิณ"และมีความเจ็บปวดฝังใจจากการเมืองในอดีต ทุกคนต่างรู้ว่า พรรคการเมืองของทักษิณ หัวใจอยู่ที่ "ตระกูลชินวัตร" หาใช่ประเทศชาติ ประชาชนแต่อย่างใดไม่ คนกลัวผีทักษิณ มากกว่าพี่น้อง 3 ป.
7. กลไกราชการ, องค์กรอิสระทั้งหลาย, รวมถึงสื่อมวลชน ต่างเป็นอิสระ ที่ระบอบทักษิณครอบงำสั่งการใดๆ ไม่ได้ เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมของบ้านเมือง และสถานการณ์เศรษฐกิจโลกหลังวิกฤติโควิดไม่เอื้อให้ระบอบทักษิณมาใช้นายกรัฐมนตรีแบบหนูทดลอง หรือนำประเทศหวนกลับไปสู่ความขัดแย้งเหมือนอดีตอีกต่อไป
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงพอประมวลภาพให้เห็นอาการวิตกของ นายทักษิณ นั่นคือ อาการโรคแห่งความกลัว คือกลัวพรรคการเมืองของตระกูลสูญพันธุ์, กลัวลูกน้องและลูกพรรคไม่เชื่อมั่นว่า จะเดินหน้าต่อหรือจะทิ้งพรรค, กลัวว่าจะถูกพรรคหอกข้างแคร่อย่างพรรคก้าวไกล แย่งชิงฐานเสียง, กลัวว่าลูกน้องเก่าที่แยกไปตั้งพรรคใหม่จะดึงคนออกจากพรรคและแย่งฐานเสียง, กลัวคะแนนนิยมลุงตู่ พี่น้อง 3 ป.จะครองอำนาจอย่างมั่นคงต่อไป
ทั้งหมดคือกลัวทำให้หมดโอกาสกลับประเทศแบบเท่ห์ๆ ตายแบบไร้แผ่นดินอยู่ และอาจทำให้พรรคการเมืองของตระกูลสูญพันธุ์เป็นพรรคต่ำร้อย เป็นเพียงตัวประกอบทางการเมือง เมื่อทำใจไม่ได้ ปลงไม่ลงเสียเอง จึงต้องออกอาการดิ้นรนดั่งที่เห็น โดยฝันจะปั้นนายกฯ เพียงชั่วข้ามคืน คิดว่าตนยังมีบารมี อันเป็นการหลงตัวเอง จนลืมไปว่า คนไทยวันนี้กินข้าวพวกเขาไม่ได้กินแกลบ ครับ
ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ภูมิทัศน์การเมืองเปลี่ยนบริบท ชัยชนะอันหอมหวานในอดีตมันจบแล้วนายทักษิณ ตื่นจากความฝันเสียเถอะ แล้วหันกลับไปกราบตัวเองเสียดีกว่า ที่จะไปกราบขอร้องผู้อื่น เลิกฝันที่จะกลับมามีอำนาจ ชักใยพรรคการเมือง เลิกป่วนประเทศ หยุดใช้พรรคการเมืองเป็นเครื่องมือเสียที หยุดด้อยค่านักการเมือง ให้เป็นเพียงคนรับใช้ประจำตระกูล หยุดใช้นักการเมืองโกงและหลอกใช้ให้ติดคุกแทนตน หยุดหลอกพี่น้องคนอีสาน ให้เป็นลิ่วล้อเหมือนหนังจีนให้ยอมตาย ใช้คนจนมาเผาบ้านเผาเมืองของตนเสียที คุณก่อกรรมทำเข็ญกับบ้านเมืองและประเทศชาติมามากพอแล้ว กลับไปหาความสงบให้กับชีวิตดีตัวเอง เตรียมตัวจากโลกนี้ไปด้วยความสงบเสียจะดีกว่า
บทเรียนในประวัติศาสตร์ทางการเมือง สอนให้รู้ว่า นักการเมืองที่ดี ซื่อสัตย์ รักชาติรักแผ่นดินเท่านั้น ที่ประชาชนจะเรียกร้องอยากให้กลับมาทำงานให้บ้านเมือง ยังไม่มีนักการเมืองโกงชาติ โกงแผ่นดิน คนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติและประชาชนคนใด ที่ประชาชนจะเรียกร้องและถวิลหาให้กลับมามีอำนาจปกครองแผ่นดินเลยแม้แต่คนเดียว อำนาจของ "ระบอบทักษิณ" มันจบไปนานแล้วครับ