*** กระแสการลงทุนในเหรียญดิจิทัล โดยเฉพาะ Bitcoin ถูกนำกลับมาพูดถึงกันอีกครั้ง หลังจากที่ราคาวิ่งแรงขึ้นในหลายวันที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะประเทศไทยมีนักลงทุนรายย่อยทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ลงทุนในตลาดเหรียญดิจิทัลเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่...กระแสของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลกลายเป็นเทรนด์ที่ถูกนำมาพูดถึงแทบทุกครั้งที่พูดถึงคำว่า “ลงทุน” และนี่ยังไม่นับรวมไปถึงบริษัททั่วไปรวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่เข้าไปลงทุนในตลาดเหรียญดิจิทัลอีกหลายแห่ง
ถ้ายังจำได้...ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน หลังจากที่ประเทศจีนมีนโยบายแบน ไม่ต้อนรับ ไม่ยุ่งและไม่สนใจ เหรียญคริปโตฯ โดยโฟกัสเจาะจงไปที่ Bitcoin รวมไปถึงเรื่องที่อีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นผู้บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง Tesla ได้ประกาศว่า Bitcoin มีส่วนทำให้โลกร้อนเนื่องจากใช้พลังงานมากเกินไป กลายเป็นแรงกดดันทำให้ราคาซื้อขายเงินดิจิทัลสกุลนี้พักตัวลงต่ำกว่า 50% ของราคาสูงสุดที่เคยทำได้อยู่นานหลายเดือน แต่หลังจากจบข่าวร้าย ข่าวดีเรื่องที่ประเทศเอลซัลวาดอร์ได้ประกาศให้ Bitcoin เป็นหนึ่งในสกุลเงินทางการของประเทศ รวมไปถึงการที่กองทุน Bitcoin Future ETF ได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. สหรัฐ ให้สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ เป็นข่าวดีต่อเนื่องที่ทำให้ราคาซื้อขาย Bitcoin ขยับขึ้นไปแตะราคา 6.6 หมื่นดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นราคาสูงสุดตลอดกาล
ส่วนตัวเจ๊เมาธ์เอง เจ๊ยืนยันว่ายังเฝ้ามองพัฒนาการของตลาดเหรียญดิจิทัลในประเทศไทยอยู่ตลอด ใครที่ได้กำไร...เจ๊ก็ดีใจด้วย หรือถ้าใครจะขาดทุนเจ๊ก็ให้กำลังใจ ของแบบนี้ “ไม่ขายไม่ขาดทุน” และในทางกลับกัน “ไม่ขายก็ไม่มีกำไร” ขึ้นอยู่กับว่าจะลงทุนหรือจับจังหวะได้ถูกทางหรือไม่ก็เท่านั้นเองเจ้าค่
*** แผนการเปิดประเทศที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 พ.ย. ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องหลายตัวปรับราคาขึ้นมา และแน่นอนว่ากลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการบินอย่าง AOT AAV และ BA ต่างก็มีการขยับราคาขึ้นมาอย่างโดดเด่น จะขาดเพียง THAI ที่ยังอยู่ในแผนฟื้นฟูเท่านั้น
*** ในส่วนของ AOT รายนี้ต้องยอมรับว่าเค้าแน่จริง แต่ความแน่ที่ว่าก็กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ราคาหุ้นหน้ากระดานปัจจุบันไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงเนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ AOT จนทำให้ราคาหุ้นไม่ปรับเปลี่ยนไปตามพื้นฐานของผลการดำเนินงาน ถ้าพูดกันง่ายๆ ก็ประมาณว่าถึงผลการดำเนินงาน “ขาดทุน” ก็จะราคาเท่านี้ แต่ถ้าหากทุกอย่างเข้าที่จนมีกำไร ราคาหุ้นของ AOT ก็ยังไม่น่าจะไปได้ไกลกว่านี้เท่าใดนัก เพราะราคาหุ้นปัจจุบันได้ปรับมูลค่าขึ้นไปรับอนาคตที่คาดว่าจะดีไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
*** ส่วนทางด้านของ AAV รายนี้แตกต่างออกไป เพราะข่าวการเพิ่มทุนจำนวน 8,000 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.75 บาทต่อหุ้น ปรับเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,285 ล้านบาท ที่ราคาพาร์ 0.10 บาท ดูเหมือนว่าจะเป็นการดึงเอากระแสการเป็นหุ้นเปิดเมืองมาใช้ลดความเสี่ยงจากการเกิด Dilution Effect หรือหากจะพูดง่ายๆ ก็คือการที่ราคาหุ้นของ AAV ขยับราคาขึ้นมานั้น เป็นการจงใจดันราคาเพื่อทำให้ผลกระทบจากการเพิ่มทุนมีน้อยที่สุด และไม่เกี่ยวข้องกับกระแสหุ้นเปิดเมืองแต่อย่างใด
*** ขณะที่ทาง BA ของหมอเสริฐ “นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” รายนี้ราคาหุ้นอาจจะดูดี มีเสถียรภาพและทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาหุ้นคล้ายคลึงกับทางด้านของ AOT มากกว่าหุ้นสายการบินรายอื่น เพราะถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานของ BA ในช่วงเวลาที่ผ่านมาจะมีการขาดทุนสะสมอยู่บ้าง แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าถึงแม้จะมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุน..มีรายได้ที่ลดลงแต่ก็มีแน่วโน้มจะดีขึ้นได้ในอนาคต
*** ทางด้านของ THAI สายการบินแห่งชาติ รายนี้สำหรับนักลงทุนทั่วไปอาจจะไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรมาก เนื่องจากอยู่ในช่วงการเข้าแผนฟื้นฟูกิจการจนต้องระงับการซื้อขายหุ้น เท่าที่เจ๊เมาธ์สามารถรวบรวมข้อมูลมาได้ก็สรุปออกมาได้ว่าจะมีทั้งการแต่งตั้งกรรมการเพื่อฟื้นฟูกิจการ การลดทุนจดทะเบียน การปรับลดจำนวนพนักงาน การขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ และการเจรจากับเจ้าหนี้
อย่างไรก็ตามเจ๊เมาธ์ได้ยินมาว่าในส่วนของการปรับลดจำนวนพนักงานของ THAI ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดค่าใช้จ่ายที่มาจากทั้งเงินเดือน สวัสดิการ และโอทีของพนักงาน เป็นการปรับเอาพนักงานผู้ปฏิบัติงานที่อยู่หน้างานเดิมออกไปจริง แต่ขณะเดียวกัน THAI ก็ใช้วิธีการโยกเอานักบินที่อยู่ระหว่างช่วงพักการบินมาทำงานในส่วนนั้น แทนพนักงานที่ถูกปลดออกไป
ประเด็นคือ นักบินเหล่านี้ความชำนาญในการทำงานในส่วนของ Ground Service แค่ไหน สามารถทดแทนพนักงานเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ..หรือลดประสิทธิภาพงานลง ทำงานได้จริง..หรือแค่เอามาแปะไว้เพื่อ “ให้มีชื่อว่ายังทำงาน” จะได้ไม่ต้องถูกปลดออกเท่านั้น ขณะเดียวกันเจ๊เมาธ์ก็ได้ข่าวว่า ยังมีกลุ่มนักบินอีกจำนวนหลายร้อยคน ที่ยังได้รับเงินเดือนทุกเดือนแต่ไม่ต้องทำงาน โดยหากคิดเป็นรายจ่ายต่อเดือนก็น่าจะเป็นเงินจำนวนไม่น้อย
นี่จึงเป็นคำถามให้คิดว่าการเข้าแผนการฟื้นฟูที่ว่าเอาจริงหรือไม่ การเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่มากขึ้น รวมถึงคำบอกเล่าที่ว่าจะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ไม่มีการอุ้ม...มีการดำเนินงานจริงหรือว่าได้ทำจริงแค่ไหน และการบินไทย (THAI) จะสามารถก้าวผ่านฟื้นฟูกิจการได้จริงหรือไม่ เรื่องปลีกย่อยและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้น่าสนใจจริงๆ เจ้าค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,725 วันที่ 24 - 27 ตุลาคม พ.ศ. 2564