ความเป็นจริงที่ต้องรับฟังเป็นยุติ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ว่าการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เริ่มต้นเมื่อ 10 สิงหาคม 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่นำโดย นายอานนท์ นำภา นายภานุพงศ์ จาดนอก นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ในการประกาศและเสนอข้อเรียกร้อง 10ข้อ บนเวทีที่มีฉากหลังชัดเจนว่า "ไม่ต้องการปฏิรูป แต่ต้องการการปฏิวัติ " และการชุมนุมขององค์กรเครือข่ายต่อๆ มานั้น ศาลเห็นว่า เป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นมุข
สรุปสั้นๆง่ายๆ ก็คือ ขบวนการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองทั้งหลาย ของกลุ่มและเครือข่ายของม็อบสามกีบ คือการปฏิวัติสังคม เพื่อล้มล้างการปกครองและเปลี่ยนแปลงสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง ล้มล้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนทั้งระบบ ไม่ว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมิต้องมีข้อสงสัยใดๆ ว่า เป้าหมายทางการเมืองของคนเหล่านี้คืออะไร เพราะทุกอย่างชัดแจ้งยิ่งกว่าแสงตะวันแล้ว โดยผลแห่งคำวินิจฉัยของศาล
พฤติกรรมของกลุ่มม็อบสามกีบ ชัดเจนขึ้นไปอีกเมื่อมีการชุมนุมภายหลังศาลวินิจฉัย โดยล่าสุดจากแถลงการณ์ฉบับล่าสุดของ "กลุ่มแนวร่วมธรามศาสตร์และการชุมนุม" กับองค์กรเครือข่าย เรื่องต่อต้านระบอบสมบูณณาญาสิทธิราชย์ในประเทศไทย ยิ่งเป็นตอกย้ำและกลายเป็นเชือกผูกคอพสชวกซ้ายทารกให้ดิ้นไม่หลุดจากข้อกล่าวหา
หากจะพิจารณาเปรียบเทียบการขับเคลื่อนทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่เป็นหัวหอกในการออกมาประกาศแถลงการณ์ข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และข้อเรียกร้องทางการเมืองอื่นๆ ต่อสังคม กับองกรค์เครือข่ายทั้งหลายนั้น มีลักษณะไม่แตกต่างอะไรกับ แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ( Manifesto of the Communist Party หรือ The Communist Manifesto) ที่ประกาศ และวางเป้าหมายการปฏิวัติไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ โดยชนชั้นกรรมาชีพ ในอันที่จะโค่นล้มระบบทุนนิยมและสร้างสังคมที่ปราศจากชนชั้นขึ้นในโลก ที่มี คาร์ล มาร์กซ์ และ ฟรีดริช เองเงิลส์ เป็นผู้เขียน เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1848 (พ.ศ. 2390)
การจัดชุมนุมด้วยแสง สี เสียง และระดมคนให้ได้มากที่สุด โดยมีไฮไลน์สำคัญอยู่ที่การประกาศแถลงการณ์ 10 ข้อดังกล่าว เป็นความตั้งใจของผู้จัดชุมนุมและบรรดาพวกอาจารย์ หัวหงอกหัวดำ นักการเมืองที่ชักใยอยู่ข้างหลัง ด้วยคาดหวังจะให้สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งแผ่นดิน ต้องการให้ประชาชนทั้งประเทศออกมาร่วมปฏิวัติสังคมกับพวกตน แต่ที่สุดก็มุกแป๊ก เพราะความอ่อนหัด ไร้เดียงสาของพวกซ้ายเฒ่าตกขอบ
และบรรดาซ้ายทารกทั้งหลาย ที่อ่อนด้อยประสบการณ์ ไม่เข้าใจสภาพสังคมไทย ประเมินกำลังตนเองผิดพลาด คาดหวังผลเลิศเกินความเป็นจริง ผลจึงเป็นคนละโลกกับแถลงการณ์ของปรมาจารย์ คาร์ลมาร์กซ และเองเงิลส์ โดยสิ้นเชิง นอกจากไม่มีใครเดินตามแล้ว มวลชนมีแต่ถดถอยเดินหนี มีแต่ซ้ายทารกไร้เดียงเท่านั้น ที่เดินหน้าเข้าคุก แม้แต่พวกอาจารย์หัวหงอกหัวดำ ก็หมุดหัวหนีไม่กล้าออกมานำการปฏิวัติ ได้แต่ยุเด็กออกไปตาย ไปเสี่ยงติดคุกตะรางแทนตน
การที่ คาร์ลมาร์กซ และ เลนิน ได้นำทฤษฎีการปฏิวัติโค่นล้มระบอบทุนนิยม โดยชนชั้นกรรมาชีพ มาทำการปฏิวัติสังคมจนสำเร็จนั้น การเคลื่อนไหวทางการเมือง การตระเตรียมและการก่อการปฏิวัติของพวกเขา มีความแตกต่างราวฟ้ากับเหว ห่างไกลราวฟ้ากับดิน กับพวกม็อบสามกีบ และห่างไกลอย่างยิ่งกับความคิดพวกอาจารย์หัวหงอก ที่ชักใยเด็กอยู่ในปัจจุบัน พวกอาจารย์หัวหงอกหัวดำ หรือนักการเมืองที่ชักใยเด็กอยู่ข้างหลัง ทำได้สูงสุดเก่งสุดก็แค่ "สำเร็จความใคร่ทางความคิด" นี่เป็นศัพท์ของพวกฝ่ายซ้ายที่เขาใช้วิพากษ์กัน
คือ คนจำพวกนี้ได้แค่พ่นความคิดออกไป พวกเขาก็มีความสุขแล้ว โดยมิได้คำนึงรับผิดชอบว่าจะปฏิบัติได้ผลสำเร็จหรือไม่ ใครจะเป็นจะตายเพราะตนเขาไม่สนใจ ขอให้ตัวกูมีความสุขที่ได้พูดได้แสดงความคิดเห็นสนองตัณหาของตน ขอแค่มีคนฟังคนเชื่อในความคิดตนก็ถือว่าเขาสำเร็จความใคร่ของตนแล้ว คนจำพวกนี้ ผู้ฉลาดควรอยู่ห่างไกล อยู่ใก้ลมีแต่ฉิบหาย
เมื่อจุดเริ่มต้นของความคิด ทฤษฎีในการปฏิวัติสังคมที่พวกเขานำมาใช้ ขบวนการและวิธีการดำเนินการทางการเมืองผิดแนวทาง รูปแบบการเคลื่อนไหวทางการเมืองขาดความชอบธรรม จึงไร้มวลชนสนับสนุน ทุกการกระทำเต็มไปด้วยความถ่อย เถื่อน รุนแรง ละเมิดผู้อื่นและผิดกฎหมาย ล่วงละเมิดต่อสถาบันที่ประชาชนให้ความเคารพ มุ่งล้มล้างการปกครองและรัฐธรรมนูญ การเคลื่อนไหวของม๊อบสามกีบ และขบวนการปฏิวัติสังคมของบรรดาซ้ายทารกทั้งหลาย จึงพ่ายแพ้ในทุกแนวรบ
ประชาชนอาจไม่ได้รักรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สุดใจเพียงแต่ประชาชนไทยเกลียดพวกม็อบสามกีบเข้ากระดูกดำ รำคาญพวกป่วนเมือง และข้อเรียกร้องการปฏิวัติที่ไร้เดียงสา ไม่ให้ราคาใดๆกับพวกอาจารย์หัวหงอกหัวดำต่างหาก ที่ทำให้รัฐบาลอยู่ได้อย่างมั่นคงพวกสามกีบต่างแพ้ภัยตนเอง โดยมิอาจร้องแรกแหกกระเชอกับใครๆ ได้
ม็อบสามกีบทั้งหลาย เด็กๆ คนรุ่นใหม่ที่ยังมีสติทั้งหลายจงฟังไว้ คนรุ่นพี่ที่เคยเป็นคนรุ่นใหม่ในอดีต ตั้งแต่รุ่น 14 ตุลาคม 2516 พวกพี่มีไฟปฏิวัติสังคมแรงกล้า ศึกษาทุกความรู้ทฤษฎีการปฏิวัติสังคมมาจากทั่วโลก คนเหล่านั้นเคยคิดปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมไทยมาก่อนแล้ว พวกเขามีกำลังมวลชนสนับสนุนเรือนล้าน มีกองทัพประชาชนติดอาวุธนับหมื่นทั่วประเทศ มีฐานที่มั่นสู้รบ มีพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกสนับสนุน มีนักศึกษาคนรุ่นใหม่เข้าป่าจับปืนร่วมต่อสู่หลายหมื่นคน มีพ่อแม่พี่น้อง ประชาชนในเมืองสนับสนุนไม่น้อย ผลสุดท้ายการต่อสู้ก็ต้องพ่ายแพ้ และคนเหล่านั้นกลับออกจากป่ามาเรียนหนังสือ มาทำงาน เป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี รับราชการมากมาย
น้องๆ ควรไปถามพี่ๆ เหล่านั้นสิว่า ทำไมพี่ๆ ไม่มาร่วมต่อสู้กับน้องสามกีบในครั้งนี้ เพราะอะไร พี่เป็นคนหนึ่งที่ผ่านเหตุการณ์นั้นมาหมดแล้ว ไม่เหมือนหัวหงอกหัวดำที่ซุกอยู่หลังเด็ก จึงขอเตือนและบอกน้องๆ ว่า ประเทศไทย สังคมไทย ต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เท่านั้น นี่คือความลงตัวความเหมาะสมอย่างยิ่งแก่ประวัติศาสตร์การเมือง การปกครองของประเทศเรา
ใครที่ชักใยน้องๆ ออกไปจากแนวนี้ มันคือคนที่จะพาคุณไปสู่นรกอย่างที่น้องเห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน หยุดทำตนเป็นซ้ายทารกที่ไร้เดียงสาเสียทีเถอะ เพราะเดินหน้าต่อไป คุณจะพบแต่ความพ่ายแพ้ในทุกแนวรบอย่างแน่นอน ยังไม่สายที่จะกลับตัวกลับใจ
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ3734 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 25-27 พ.ย.2564