เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษกิจโลกในปีค.ศ. 2022 มีแนวโน้มการเติบโตและค่อนข้างมีเสถียรภาพมากกว่าปีที่ผ่านมา ธุรกิจครอบครัวจึงมีวาระสำคัญของธุรกิจครอบครัวในปีนี้ ดังต่อไปนี้
1. การกระจายธุรกิจโดยการเข้าซื้อกิจการ แม้ว่าปัญหาทางธุรกิจมีอยู่ตลอดเวลา แต่การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้ผลักดันให้การกระจายธุรกิจเป็นวาระสำคัญของหลายครอบครัวที่ทำธุรกิจ โดยการสร้างความมั่งคั่งทั้งหมดอาจจะกระจุกตัวอยู่ในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งหนึ่งที่อาจเคยให้ผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้นการกระจายสินทรัพย์ทางธุรกิจจะเติบโตมากขึ้นในปีค.ศ. 2022 ด้วยเหตุนี้ครอบครัวจำนวนหนึ่งจึงซื้อธุรกิจในภาคธุรกิจอื่นเข้ามาเป็นมรดกของธุรกิจตน ซึ่งให้ผลตอบแทนเป็นผลกำไรทางเลือก ขณะที่มีครอบครัวจำนวนเล็กน้อยที่ออกจากภาคธุรกิจเดิมของตน
2. เร่งการสืบทอดกิจการ นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 พบว่ามีผู้นำรุ่นปัจจุบันเพิ่มมากขึ้นที่ตระหนักถึงการเสียชีวิตและการแสวงหาความสมดุลในชีวิตการทำงานที่แตกต่างออกไป นับตั้งแต่การก้าวออกจากธุรกิจไปจนถึงเกษียณเร็วขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้บางครอบครัวต้องพิจารณาเรื่องการสืบทอดกิจการและการพัฒนาความเป็นผู้นำให้กับคนรุ่นต่อไปให้เร็วขึ้น
อีกทั้งเมื่อการขยายตัวของดิจิทัลกลายเป็นที่สนใจอย่างแพร่หลาย ก็ได้ตอกย้ำคำถามเกี่ยวกับกลุ่มทักษะที่จำเป็นในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจและนำไปสู่อนาคต ในช่วงปีที่ผ่านมาจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นที่จะเข้ามาเป็นผู้นำในเรื่องเหล่านี้
3. หันมาตอบสนองผู้ถือหุ้นมากขึ้น เมื่อครอบครัวเติบโตและซับซ้อนมากขึ้นจากการมีลูก การหย่าร้าง และการแต่งงานใหม่ ผู้ถือหุ้นก็มักจะเป็นกลุ่มเดียวกัน จะเห็นว่าสมาชิกมีจำนวนมากเกินกว่าที่ธุรกิจจะรับใช้ทุกคนได้ ดังนั้นครอบครัวต้องตอบสนองด้วยการจัดการนโยบายการจ่ายเงินปันผลหรือการจัดการว่าใครสามารถเป็นเจ้าของได้บ้าง บางครอบครัวจำกัดความเป็นเจ้าของให้กับสมาชิกที่ใกล้ชิดเท่านั้น
4. การออกจากธุรกิจเดิม ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ [AA1] เกี่ยวกับการออกจากธุรกิจในปีนี้จะมากกว่าปีก่อน เนื่องจากในธุรกิจครอบครัวจะได้รับผลกระทบกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 มากพอสมควร พบว่าคนรุ่นต่อไปมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นที่แสวงหาความมั่งคั่งให้ครอบครัวด้วยการสร้างธุรกิจใหม่ แทนที่จะเข้าร่วมในบริษัทของครอบครัว ในบางกรณี สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการขายธุรกิจและการจัดตั้งสำนักงานครอบครัว (family office) ซึ่งทำให้มีโอกาสที่การลงทุนหลักในคนรุ่นต่อไปและเงินที่เหลือถูกนำไปใช้ในการทำอย่างอื่นแทน
5. องค์ประกอบทางสังคม (S) ใน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล) ธุรกิจครอบครัวจะหันมาช่วยเหลือสังคมมากขึ้นด้วยเหตุผลทางด้านการสร้างกุศล และการพยายามรักษาพนักงานสูงกว่าเจ้าของธุรกิจทั่วไปตามผลงานวิจัยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
6. การดึงดูดและรักษาคนเก่ง ในขณะที่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงคนเก่งเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจครอบครัว จะต้องมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการเห็นคุณค่าของพนักงานของตนเพื่อที่จะเอาชนะตลาดให้ได้ ขณะที่ในระดับผู้บริหารซึ่งอาจต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงผู้นำที่เก่งกับบริษัทที่เสนอหุ้นให้กับแคนดิเดต ซึ่งการมี และการสื่อสารเกี่ยวกับแผนจูงใจระยะยาวและข้อตกลงตามสัญญาระหว่างบริษัทและผู้รับหุ้น (Phantom stock) สามารถเสริมความได้เปรียบให้กับบริษัทได้
นอกจากนี้ข้อความที่ชัดเจนเกี่ยวกับวัฒนธรรมเชิงบวก ความก้าวหน้า การทำงานที่ยืดหยุ่น และความชื่นชมอย่างเท่าเทียมกันจะช่วยเพิ่มความดึงดูดใจและการรักษาพนักงานได้ เช่นเดียวกับกลยุทธ์ ESG ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากพนักงานกำลังมองหาสถานที่ทำงานที่สามารถพัฒนาทักษะของตนต่อไปได้ รวมถึงการทำงานกับบริษัทที่มีภาพลักษณ์ที่ดี
7. การพัฒนาความมั่งคั่ง ในการแสวงหาเงินทุนทั้งเพื่อการเกษียณของคนรุ่นปัจจุบันและไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ในอดีตความมั่งคั่งในครอบครัวผูกติดอยู่กับธุรกิจเกือบทั้งหมด แต่เมื่อจำนวนผู้ถือหุ้นมากขึ้น การแสวงหาความมั่งคั่งอย่างอิสระของสมาชิกครอบครัว ทำให้บางครอบครัวต้องเปลี่ยนจากการนำผลกำไรส่วนใหญ่กลับมาลงทุนไปเป็นการจ่ายเงินปันผลที่มากเพียงพอที่สมาชิกในครอบครัวจะสามารถเริ่มต้นการสร้างความมั่งคั่งอย่างอิสระได้ ขณะที่ในบางสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ พบว่าธุรกิจครอบครัวจะนำเงินไปใช้หนี้สิน
หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,756 วันที่ 10 - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565