ลดภาษีน้ำมันทุกชนิด อีกทางเลือก ดูแลประชาชน

19 ก.พ. 2565 | 00:30 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...ว.เชิงดอย

*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3759 ระหว่างวันที่ 20-23 ก.พ.2565 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และต่อประเทศชาติเช่นเคย ...ก่อนอื่นขอพูดถึง “หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ” กันหน่อย เนื่องจากวันพุธที่ 23 ก.พ.2565 นี้ จะเป็นวันครบรอบ 41 ปี ก้าวเข้าสู่ปีที่ 42 ของการก่อตั้งหนังสือพิมพ์ “ฐานเศรษฐกิจ” พวกเราก็ยังจะคงทำหน้าที่ในฐานะ “สื่อมืออาชีพ” กันต่อไป เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ทั้งในรูปแบบ สื่อสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ และ ทีวี แบบ ลึก ตรงประเด็น เห็นอนาคต กันต่อไป


*** ไปอัพเดทสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของประเทศไทย ณ วันที่ 16 ก.พ.2565 ที่ผ่านมา พบยอดผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ รวม 16,462 ราย แยกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 16,326 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 136 ราย ผู้ป่วยสะสม 415,627 ราย (ตั้งแต่ 1 ม.ค.65) หายป่วยกลับบ้าน 10,868 ราย หายป่วยสะสม 309,757 ราย ผู้ป่วยกำลังรักษา 138,295 ราย เสียชีวิต 27 ราย เสียชีวิตสะสม 12,516 ราย

*** สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานวา อันดับแรกยังคงเป็น กรุงเทพมหานคร(กทม.) 2,891 ราย สะสม 62,954 ราย ตามด้วย 2.สมุทรปราการ 994 ราย สะสม 32,792 ราย 3.ชลบุรี 805 ราย สะสม 26,876 ราย 4.นนทบุรี 661 ราย สะสม 18,374 ราย 5.ภูเก็ต 496 ราย สะสม 17,339 ราย 6.สมุทรสาคร 460 ราย สะสม 7,447 ราย 7.นครราชสีมา 457 ราย สะสม 8,458 ราย 8.นครศรีธรรมราช 402 ราย สะสม 9,002 ราย 9.ปทุมธานี 382 ราย สะสม 9,258 ราย  และ 10.ราชบุรี 371 ราย สะสม 6,324 ราย ส่วนยอดการฉีดวัคซีนโควิดสะสม ระหว่างวันที่ 28 ก.พ.2564 -15 ก.พ. 2565 รวม 120,520,771 โดส ใน 77 จังหวัด จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม 52,876,077 ราย ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 49,300,254 ราย ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 สะสม 18,344,440 ราย


*** จากเรื่องโควิด-19 ไปดูปัญหาราคา “น้ำมันแพง” ทนเสียงเรียกร้องของ “ผู้ประกอบการรถบรรทุกสินค้า” ไม่ไหว ในที่สุดที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2565 ที่ผ่านมา ก็มีมติลดภาษีสรรพสามิต “น้ำมันดีเซล” 100% ลงลิตรละ 3 บาท จากเดิมลิตรละ 5.99 บาท เหลือ 2.99 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงครั้งนี้ จะทำให้กรมสรรพสามิตสูญเสียรายได้จากภาษีเดือนละ 5,700 ล้านบาท รวม 3 เดือน สูญเสียรายได้ 17,000 ล้านบาท อัตราการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่ 3 บาทต่อลิตรดังกล่าว ลดให้สำหรับน้ำมันดีเซล 100% แต่กรณีน้ำมันไบโอดีเซล จะลดน้อยลงตามสัดส่วนเกรดน้ำมันดีเซล

*** ต้องยอมรับว่าปัญหาราคาน้ำมันแพง แม้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแค่ประเทศไทย เพราะทั่วโลกก็ประสบกับวิกฤตินี้ด้วยเช่นกัน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความตึงเครียดระหว่าง “รัสเซีย” กับ “ยูเครน” ที่เป็นอีกตัวแปร แต่การแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงของรัฐบาลไทยก็ช่วยลดผลกระทบของผู้ประกอบการได้ระดับหนึ่ง แค่ระยะสั้น และเป็นการช่วยเฉพาะผู้ใช้รถที่ใช้ “น้ำมันดีเซล” แต่สำหรับผู้ใช้ “น้ำมันเบนซิน” ที่ประสบกับปัญหาราคาน้ำมันแพง ขึ้นเอา ขึ้นเอา แบบ วัน เว้น วัน ก็เริ่มมีเสียงเรียกร้องแล้วว่า รัฐบาลจะดูแลพวกเขาอย่างไรได้บ้าง


*** เห็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการลดอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจาก “น้ำมันทุกประเภท” เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ พร้อมทั้งออกตัวว่า การที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการจัดเก็บภาษีน้ำมันทุกชนิด ไม่ได้ทำเพื่อหาคะแนนเสียงหรือความนิยมทางการเมือง แต่เป็นการเรียกร้องที่มาจากเหตุผลทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น ใน 4 ข้อ คือ 1. ภาษีสรรพสามิตเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องสำอาง หรือ น้ำหอม หรือสินค้าที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม เช่น บุหรี่ สุรา ไพ่ หรืออาบอบนวด แต่น้ำมันเป็นปัจจัยการผลิตที่จำเป็นจึงไม่ควรถูกจัดอยู่ในสินค้าที่ต้องจัดเก็บภาษีสรรพสามิต


*** 2. ประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก ซึ่งผู้ประกอบการไทยจะต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการอื่นๆ ทั่วโลก แต่การที่ผู้ประกอบการไทยต้องแบกต้นทุนค่าน้ำมันที่แพง เพราะอัตราภาษีสรรพสามิตที่สูงจะทำให้อำนาจการแข่งขันลดลง ไม่เป็นผลดีต่อการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งของประเทศ 


*** 3. ทราบดีว่ารัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่มาจากน้ำมันถึงปีละ 200,000 ล้านบาทเศษ อันเป็นรายได้หลักของรัฐบาล หากรัฐบาลสูญเสียรายได้จากภาษีสรรพสามิตจากน้ำมัน จะทำให้ฐานะทางการคลังของรัฐบาลเปราะบางมากขึ้น แต่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ประชาชนยากลำบากรัฐบาลจะต้องเลือกทางที่ทำให้ประชาชนอยู่รอด เพราะประชาชนคือผู้ที่ต้องชำระหนี้ เมื่อประชาชนรอดและกลับมาแข็งแรงรัฐบาลก็จะได้ภาษีในรูปแบบอื่นคืนมา 


*** และ 4. รัฐบาลต้องตระหนักว่า การทำให้ประชาชนมีชีวิตรอดยาวนานเท่าไร ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือรัฐบาล เพราะการมีชีวิตของประชาชนต้องกินต้องใช้ทุกวัน นั่นคือ การผลิตภาษีให้กับรัฐบาล หากปล่อยให้ประชาชนอดตายรัฐบาลก็หมดสิทธิได้ภาษีจากผู้นั้นอีกต่อไป …ก็ไม่รู้ว่า “รัฐบาลลุงตู่” จะคิดเห็นอย่างไร และจะปฏิบัติได้หรือไม่กับข้อเสนอเหล่านี้ คงต้องรอดูว่ารัฐบาลจะหาทางช่วยเหลือผู้ใช้น้ำมันเบนซินได้บ้างหรือไม่ อย่างไร


*** ปิดท้ายกันที่ งานสัมมนาให้ความรู้สำหรับ “คนสนใจเรื่องหุ้น” ในวันจันทร์ ที่ 21 ก.พ.2565 นี้  เวลา 12.30-16.30 น. ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ขอเชิญตามติดทิศทางกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้น ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอน ในงานสัมมนา “หุ้นไทยปีขาล เสือคะนอง หรือ เสือลำบาก” พบกับ ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ  ที่จะมาชี้ให้เห็นถึงทิศทางและแนวโน้มการลงทุน ในปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ทิศทางการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกและหุ้นไทย ปี 2565”


*** ช่วงเสวนา หัวข้อ “หุ้นเด็ด ตามเทรนด์ลงทุนปี 2022” พบกับผู้คร่ำหวอดที่จะมาชี้ทิศทางการลงทุน ชูเกียรติ รุจนพรพจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สบาย เทคโนโลยี, วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด,  ภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บมจ. ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ ปิดท้ายเวทีด้วยช่วงเสวนา “5 หุ้นเด็ด ต้องมีในมือ” กับนักวิเคราะห์และผู้บริหารบริษัทมหาชน ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บมจ. หลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ , กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ. หลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) , เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด  และ สุทธิชัย คุ้มวรชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด


*** ห้ามพลาด! พบกันในงานสัมมนาดังกล่าว ตามสถานที่ เวลาดังกล่าว  โดยลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ผ่านช่องทางออนไลน์ที่ www.thansettakij.com/seminar/STOCK  ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มขึ้นไป และก่อนเข้าพื้นที่จัดงาน ต้องเข้ารับการตรวจ ATK ณ บริเวณจุดคัดกรอง หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 338 3000 กด 1