ในความเคลื่อนไหวทางการเมืองของ นายทักษิณ ชินวัตร ในหลายช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อแสดงตัวตนให้คนเห็นผ่านสื่อช่องทางต่างๆ ว่า ตนเองยังไม่ล้มหายตายจากไปไหนในทางการเมือง ทั้งๆ ที่ความจริงหากพิจารณาถึงบริบททางการเมืองให้ดี "เขาได้ตายไปแล้ว" และไม่มีโอกาสที่จะฟื้นกลับมีอำนาจทางการเมืองด้วยตนเองอีกแต่อย่างใด
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามดิ้นรนแสดงบทบาทต่อไป ที่จะบอกกับผู้คนว่าเขายังไม่ตาย เหตุเพราะยังทำใจยอมรับความจริงไม่ได้ และยังมีสมุนบริวารคอยรับใช้ โดยเฉพาะพวกที่ยังไม่เข็ด แม้จะติดคุกติดตะรางเพราะทักษิณไปเยอะแล้วหลายรายนับชื่อไม่ถ้วน แต่ก็ยังมีพวกประเภททาสที่ปล่อยไม่ไป ยอมทำตนรับใช้
จริงๆ แล้วผู้เขียนมิได้ให้ค่าหรือให้ความสำคัญใดๆ เลย กับความเคลื่อนไหวของบุคคลผู้นี้ เพราะรู้เช่นเห็นชาติในบทบาททางการเมืองของ นายทักษิณ ในอดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างดี แม้มีสื่อหลายสำนักยังให้ราคา นำเสนอข่าวและความเคลื่อนไหวของเขา ด้วยเหตุที่ข่าวยังพอขายได้หรือมีผู้ติดตามสนใจอยู่บ้าง แต่บอกตรงๆ ครับ ผู้เขียนมิได้ให้ราคาสักเท่าไหร่ ไม่ว่าเขาจะออกกระบวนท่ามาอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเรื่องการเมืองเพื่อผลประโยชน์ตนและครอบครัว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ผมก็ยังถือสุภาษิตที่ว่า "งาช้าง ย่อมไม่งอกออกมาจากปากหมา" นั่นเอง
ความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ กับความเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทย ในช่วงหลังๆ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ในการแสดงบทบาทความเป็นนายทุนเจ้าของพรรคเพื่อไทย เรื่องแบบนี้มีความชัดแจ้งยิ่งกว่าแสงตะวัน ใครจะพูดจะตะแบงแก้ตัวแทนอย่างไร ว่า นายทักษิณ ไม่เกี่ยวข้อง ได้บงการพรรคนี้ กระทั่งจะขอแก้พรบ.พรรคการเมือง บทว่าด้วยการครอบงำพรรคไม่ให้เป็นความผิดก็ตาม ก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะพรรค ๆ นี้ แท้จริงก็คือ พรรคที่เป็นสมบัติในครอบครัวของ "ตระกูลชินวัตร" ที่มี นายทักษิณเป็นคนคอยชักใย กำกับบงการและคอยชี้แนะอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
บทบาทย่างก้าวความเปลี่ยนแปลงของพรรคเพื่อไทย ที่มีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว คนหนุ่มที่บทบาททางการเมืองโดดเด่น มีอนาคตที่ดีคนหนึ่ง และมีการแต่งตั้งให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของนายทักษิณ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ของพรรคเพื่อไทย จนกระทั่งมีการจัดความเคลื่อนไหวทางการ ที่บรรดาแกนนำพรรค ยกขบวนกันไปที่ จ.อุดรธานี เพื่อจัดกิจกรรม "ครอบครัวเพื่อไทย:บ้านหลังใหญ่ หัวใจเดิม" โดยพยายามจะอธิบายว่า นี่เป็นนวัตกรรมใหม่ของภาคประชาชนก็ตาม ยิ่งสะท้อนภาพให้เห็นในความเป็นน้ำเน่าทางการเมือง ของพรรคๆ นี้ที่คิดมุขหากินแบบเดิมๆ แถมเปลือยตัวตนของพรรคให้เห็นชัดว่า เป็นพรรคการเมืองระบบครอบครัวดีๆ นี่เอง หาใช่นวัตกรรมใหม่อะไรไม่
สรุป ก็กลายเป็นว่า สมาชิกพรรคทุกคนกลายเป็นคนในครอบครัวชินวัตร ที่มี นางสาวแพทองธาร เป็นหัวหน้าครอบครัว มิใช่ระบบพรรคการเมือง ที่เป็นพรรคการเมืองของมหาชนแต่อย่างใด ทุกคนในครอบครัวนี้ คงไม่ต่างจากสุนัขเลี้ยงในบ้าน อย่างที่ นายทักษิณ เคยอุปมาอุปมัยถึงคนที่เคยอยู่กับพรรคแล้วออกไป
สื่อหลายสำนัก หรือ นักการเมืองต่างพรรค หรือแม้แต่ในพรรคเดียวกัน กำลังจับตามองว่า นี่จะเป็นหมากการเมืองหนึ่งของทักษิณ ที่พยายามกรุยทาง เพื่อให้ลูกสาวคนในตระกูลชินวัตร ก้าวเดินสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนต่อไป เหมือนอย่างที่ ทักษิณ เคยปลุกปั้นให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนอีกครั้งใช่หรือไม่
เมื่อเสพข่าวนี้แล้วก็ได้แต่หัวเราะหึหึในใจครับ บางทีก็นึกสมเพชเวทนาถ้าหากเขาคิดแบบนั้นกันจริงๆ ทำให้คิดถึงเรื่องเล่าในตำนานผีโบราณไทยเรื่อง "คนตายเป็นผี แต่ยังหวงสมบัติ" กรณีนี้พอเทียบได้ว่า นายทักษิณ ตายเป็นผีทางการเมืองไปนานแล้ว โอกาสฟื้นไม่มี แต่ก็ยังหวงสมบัติ คิดว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นสมบัติในครอบครัวของตน จะเอาใครมายัดเยียดให้ประชาชนก็ได้เสียอย่างนั้น คิดเอาแต่ได้ และลำพองในความสำเร็จในอดีต โดยมิได้คิดว่า โลกและเหตุการณ์บ้านเมือง ความจริงในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วเพียงใด
พรรคเพื่อไทยนั้น มิได้ยิ่งใหญ่หรือมีความนิยมสูงอย่างในอดีต แต่กลายเป็นพรรคเรือแตก ที่คนเก่ง คนดีๆ ในพรรคหนีออกไปสร้างพรรคใหม่ แตกไปหลายก๊กหลายเหล่าแล้ว เพราะทุกคนต่างรู้อนาคตของตนเองดี หากไม่ใช่คนในตระกูลชินวัตร ก็ยากที่จะก้าวสู่ความสำเร็จสูงสุดได้ แม้แต่ใน จ.อุดรธานี ที่อ้างว่าเป็นฐานที่มั่นของพรรคในอดีต ก็มิได้มีสถานะดั่งเดิมแต่อย่างใด คนเสื้อแดงที่เคยถูกหลอกเป็นฐานการเมืองให้ ก็เปลี่ยนใจเลือกอนาคตของตนเองหนีไปอีกทาง ความฝันว่าจะสร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ ในการเลือกตั้งเหมือนในอดีต ก็เป็นเพียงวิมานในอากาศ ที่ห่างไกลอย่างยิ่งในความเป็นจริง
มาถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ใครจะเชื่อมั่น หรือจะคาดหมายอย่างไรก็ตาม คงต้องรับฟังแต่เชื่อยาก โอกาสที่หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย วัย 35 ปี อย่าง นางสาวแพทองธาร ที่จะมาปกครองพวกหัวขาวหัวหงอกวัย 50-60-70 ปี นำพรรคเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จในทางการเมืองนั้น คงเป็นได้แค่สร้างฝันปลุกปลอบพวกกันเอง สร้างราคาเรียกลูกพรรคไม่ให้โดดหนี และเป็นเพียงความสุขของผีตายซาก ที่ยังหวงสมบัติอยู่เท่านั้น
เพราะสัจธรรมของการเมืองสอนให้รู้ว่า พรรคการเมืองที่ก่อตั้งและสร้างขึ้น เพียงเพื่อครอบครัวและคนในตระกูลของตน โดยหลอกชาวบ้านว่า เป็นพรรคของประชาชนนั้น ที่สุดเมื่อความจริงปรากฏว่า มิได้เป็นเช่นนั้น พรรคเป็นแค่สมบัติของครอบครัว พรรคการเมืองนั้นๆ ก็จะค่อยๆ ตายซากไปกับกาลเวลา เพราะประชาชนฉลาดขึ้น
นักการเมืองที่เคยรับใช้ก็มีบทเรียนมากขึ้น ประชาชนย่อมเลือกและตัดสินอนาคตของตนได้ ไม่มีใครยอมให้ถูกหลอกต้ม หรือ ถูกใช้เป็นเครื่องมืออยู่ตลอดไป นี่คือบทเรียนที่ครอบครัวชินวัตรไม่เคยจดจำ เพราะไม่เชื่อว่า "มันจบไปแล้วนาย" นั่นเอง