รัสเซีย บุก ยูเครน กับบทเรียนของไทย กรณีเวียดนาม บุก กัมพูชา

09 มี.ค. 2565 | 22:30 น.
อัปเดตล่าสุด :11 มี.ค. 2565 | 14:34 น.

คอลัมน์ ข้าพระบาท ทาสประชาชน โดย... ประพันธุ์ คูณมี

     ระหว่างสงครามการสู้รบระหว่างรัสเซีย กับ ยูเครน ท่ามกลางเสียงระเบิด กลุ่มควัน และดินปืน สภาพบ้านเมืองที่แตกสลาย ผู้คนต่างดิ้นรนหนีตาย อพยพหนีภัยสงครามในอีกฟากหนึ่งของโลก ในสังคมออนไลน์ของไทย ในห้องไลน์ปัญญาชนกลุ่มต่างๆ คนในแวดวงการเมือง และการข่าว ได้ปรากฏมีการแชร์บทความหนึ่งที่น่าสนใจยิ่ง โดยผู้เขียนได้อ้างถึงประสบการณ์ตรงที่ได้ยินได้ฟังเรื่องมาจากปากของ ท่านหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อครั้งเยือนอังกฤษ

 

     หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านได้รับเชิญให้มาพูดที่สามัคคีสมาคม โดยมีท่านทูตแผน วรรณเมธี ซึ่งเป็นทูตไทยในอังกฤษ มาด้วย สิ่งที่หม่อมคึกฤทธิ์ ได้กล่าวไว้ในวันนั้น คือ บทเรียนสำคัญของประเทศไทย กับประเทศมหามิตรอย่างอเมริกา ถือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่คนไทยควรจดจำ จึงขอคัดบางส่วนมาเล่าสู่กันฟังดังนี้

 

     "ท่านคึกฤทธิ์ บอกว่า America ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย แม้แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทิ้งไว้ เราขอก็ไม่ให้ เราซื้อก็ไม่ขาย ปล่อยให้พังไปเอง ท่านบอกว่าอเมริกันเป็นเพื่อนที่เลวที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ท่านคึกฤทธิ์ ต้องไปประเทศจีน ถ้าอยากรู้รายละเอียด มากกว่านี้ ผมยินดีเล่าให้ฟังครับ... มีช่วงหนึ่งที่เราถามท่านว่า ทำไมท่านจึงตัดสินใจไปเยือนจีน ท่านก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านขึ้นเป็นนายกฯ เวียดนามบุกประชิดเขตแดนของเราทุกด้าน ท่านดูแล้วเราไม่มีทางออก นอกจากขอร้องจีนให้ช่วยเรื่องนี้

     ในตอนแรกท่านเรียกแม่ทัพนายกองทั้งหมดมา และถามว่า ถ้าเวียดนามบุกนี่ เราจะรับมือได้นานเท่าไหร่ แม่ทัพนายกองพูดอย่างกวนๆ ว่าได้แค่ 7 วัน ท่านตกใจมาก อะไร อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เรามีทั้งหมดนี่น่ะ รับมือได้แค่ 7 วัน เราและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่อเมริกันทิ้งไว้เนี่ย ท่านก็ทำหนังสือไปขอจากรัฐบาลอเมริกัน เพื่อใช้ป้องกันตัว ก็ได้รับการปฏิเสธ ขอซื้อก็ไม่ขาย แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ให้มันพัง ตามธรรมชาติของมัน ท่านจึงพูดในวงสนทนาว่า อเมริกันเป็นเพื่อนที่ใช้ไม่ได้เลย คบไม่ได้คนพวกนี้ ท่านจึงเรียกท่านทูตแผน วรรณเมธี ให้เข้ามา แล้วพูดกับท่านแผนว่า เราเห็นจะต้องไปเยือนจีนกันละ เพราะไม่เห็นทางออกทางอื่น ท่านทูตแผนตอนนั้น จึงจัดเจ้าหน้าที่กรุยทางที่จะไปเยือนจีน

 

     การไปเยือนจีนสมัยนั้น ต้องผ่านฮ่องกง เมื่อนักข่าวต่างประเทศรุมถามกันว่า ท่านจะไปเมืองจีนทำไม ทั้งที่รู้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เป็นผู้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ให้ก่อการร้ายอยู่ในขณะนั้น

 

     ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเราหน้าแตก เพราะต้องบากหน้าไปพึ่งเขา แต่จะพูดตรงๆ มันก็เสียเหลี่ยม ท่านจึงบอกว่า ผมเป็นตัวแทนรัฐบาลไทย ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับรัฐบาลจีน ส่วนเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์จีน สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นั่นเป็นเรื่องของพรรคไม่เกี่ยวกับรัฐบาล

     เราเป็นตัวแทนรัฐบาลไม่เกี่ยวกับพรรค ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ก็คือรัฐบาลจีน แต่ก็ต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน แต่เมื่อไปถึงประเทศจีน เขาก็ให้การต้อนรับเราอย่างดี แต่ยังไม่แน่ใจว่า จะได้พบท่านประธานเหมา หรือเปล่า เพราะท่านประธานแก่มากแล้ว"

 

     ในที่สุดท่านคึกฤทธิ์ ก็ได้มีโอกาสเข้าพบกับท่านประธานเหมา ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญมากโดยท่านเล่าว่า "ท่านคึกฤทธิ์ พบว่า ท่านประธานเหมา ถึงแม้แก่ชรามากแล้ว แต่ก็รู้เรื่องทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ท่านเหมาเข้ามากอดท่านคึกฤทธิ์ แล้วบอกว่าไอ้หนู เองตอบคำถามนักข่าวได้ดีมาก พร้อมกับตบหลังตบไหล่อย่างเป็นกันเอง ท่านคึกฤทธิ์ได้คุยกับท่านเหมาอยู่ 2 ถึง 3 ชั่วโมง ทั้งที่หมายกำหนดการเดิมมีให้แค่ 20 นาที

 

     ในระหว่างนั้นท่านคึกฤทธิ์ ก็ขอท่านเหมาว่า ขอให้ช่วยบอกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ให้หยุดปฏิบัติการรุนแรง แต่ท่านเหมาบอกว่า เราสั่งเขาอย่างนั้นไม่ได้ แต่ที่เราจะทำได้คือ หยุดส่งอาวุธและเสบียง เรื่องนี้ท่านรับปาก

 

     ส่วนเรื่องเวียดนาม ท่านบอกว่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจีนจะจัดการเองทั้งหมดนี้ได้ยินจากปากของท่าน หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และผมก็ไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ในห้องสมุดนั้น มีคนอีกหลายคนล้นออกมานอกห้องสมุดเลย รวมทั้งท่านทูตแผน วรรณเมธี ซึ่งเป็นทูตไทยประจำประเทศอังกฤษ ในขณะนั้น และเป็นคนที่กรุยทางให้ท่านคึกฤทธิ์ไปเยือนจีน

 

     ครั้งนั้นทำให้เราเข้าใจว่า ไม่ว่าอย่างไร จีนก็ยังเป็นเพื่อน เพราะเชื้อสายที่ติดต่อกันมาหลายชั่วคน แต่อเมริกาไม่ใช่เลย ถ้าไม่มีผลประโยชน์เขาจะไม่เข้ามา เขาใช้เราเป็นฐานทัพ ไปโจมตีเพื่อนบ้านเรา แต่ถึงเวลาถอย มันทิ้งเราเลย ไม่ช่วยแม้แต่อาวุธ นี่คือเรื่องทั้งหมดที่ผมจำได้ จนถึงทุกวันนี้"

รัสเซีย บุก ยูเครน กับบทเรียนของไทย กรณีเวียดนาม บุก กัมพูชา

     นี่คือเรื่องราวจากบทความที่ดีมากชิ้นหนึ่ง ของคนไทยที่รักชาติ ซึ่งเชื่อถือและรับฟังได้ว่าเป็นความจริง ที่ผู้เขียนได้บันทึกมาจากการรับฟังจากปากของ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช เพราะหากคลาดเคลื่อน ท่านทูตแผน วรรณเมธี ที่ยังมีชีวิตอยู่ และขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็น เลขาธิการสภากาชาดไทย ท่านย่อมจะออกมาปฏิเสธได้ แต่ก็มิได้มีการปฏิเสธความจริงในเรื่องนี้แต่อย่างใด

 

     เหตุการณ์ที่กองทัพเวียดนาม บุกยึดกัมพูชา ด้วยกำลังพลรบ 150,000 นาย พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ และรถถัง อากาศยานจำนวนมาก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เมื่อ 25 ธันวาคม 2521 โดยเข้ายึดพนมเปญได้เมื่อ 7 มค.2522 สาเหตุเพราะเวียดนามเห็นว่ากัมพูชา โอนเอียงไปทางจีน และไม่สนับสนุนการร่วมเป็นพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน และมีการขจัดผู้นำคอมมิวนิสต์สายเวียดนามในกัมพูชาด้วย

 

     เมื่อยึดกัมพูชาได้แล้ว เวียดนามยังฮึกเหิมหลังชนะสงครามกับสหรัฐ จึงคิดไปไกลถึงขนาด จะใช้กำลังกองทัพสองแสนคนรุกรานไทย โดยนายพลหวั่นเตี่ยนสุง (Van Tien Dung) ลั่นวาจาว่าจะบุกยึดกรุงเทพฯ ได้ในเวลาแค่ 2 ชั่วโมง หลัง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 3 มีนาคม 2523 ได้เพียง 3 เดือน 23 มิถุนายน 2523 เวียดนามก็เริ่มประกาศจะบุกไทยทันที เวียดนาม ได้ส่งทหารรุกดินแดนไทยที่บ้านโนนหมากหมุ่น อำเภอตราพระยา และจากนั้นทหารไทยกับเวียดนาม ก็ปะทะกันมาตลอดตามแนวชายแดน จนกระทั่งถึงปี 2530 เกือบตลอดสมัยที่ พลเอกเปรม เป็นนายกรัฐมนตรี

 

     หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 14 มี.ค.2518 - 12 ม.ค.2519 (304 วัน) แต่ท่านก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-จีน การทูตของไทยที่เชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีน ตั้งแต่สมัยหม่อมคึกฤทธิ์ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องและสายตาที่ยาวไกล ต่อเนื่องมาถึงสมัยพลเอกเปรม ทำให้ไทยได้รับความช่วยเหลือจากจีนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

 

     โดยเฉพาะการที่จีนได้เปิดสงครามสั่งสอนเวียดนามที่ชายแดนเวียดนาม-จีน ระหว่าง 17 ก.พ.-16 มี.ค. 2522 ได้บั่นทอนกำลังเวียดนาม จนในที่สุดเวียดนามต้องถอนกำลังออกไปจากกัมพูชา และยุติการที่จะรุกรานไทย โดยเหตุการณ์นี้จีนได้เชิญผู้แทนรัฐบาลไทยแบบปกปิด ให้ไปสังเกตการณ์ที่ชายแดนจีน-เวียดนามด้วย

 

     อันแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในทางการทูตของไทย ที่สามารถเจรจาขอความช่วยเหลือจากจีนเป็นผลสำเร็จ และเรื่องราวการเจรจาระหว่างไทยกับจีน สมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี กับ นายหวา กว้อ เพิ่ง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีเขียนบันทึกไว้โดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ในหนังสือ "พลเอกเปรม ติณนสูลานนท์ รัฐบุรุษคู่แผ่นดิน" ในเรื่องปัญหาที่เวียดนามบุกกัมพูชา และรุกรานไทย กับปัญหาคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย จนนำมาสู่ความสำเร็จตามคำสั่ง 66/2523 ในการยุติสงครามภายในประเทศได้อีกด้วย

 

     จากเหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ย้อนมาพิจารณาบทเรียน ประเทศไทย จะได้เห็นบทพิสูจน์น้ำใจของมิตรประเทศ ว่าใครคือมิตรแท้ใครคือมิตรเทียม อเมริกาเป็นได้แค่เพื่อนกิน คือ ค้าขาย ทำมาหากินได้ แต่มิใช่เพื่อนตาย ส่วนจีนเป็นได้ทั้งเพื่อนกินและเพื่อนตาย

 

     ดั่งสุภาษิตชาวเอเชียสำหรับความเป็นเพื่อนคือ "มีสุขร่วมเสพ มีภัยร่วมต้าน" เช่นนี้จึงจะถือเป็นมิตรแท้ ใครที่ยังคลั่งไคล้หลงใหลโลกตะวันตก จึงพึงคิดและควรสังวรณ์ จดจำบทเรียนในอดีตที่บรรพบุรุษเคยพาชาติบ้านเมืองรอดพ้นมาให้ดี เราจึงควรเลือกคบมิตรแท้เท่านั้น ชาติจึงจะพ้นภัย