*** บอกตรงๆ ว่า เจ๊เมาธ์เซ็งมากที่เห็นวิธีการแก้ปัญหาเรื่องปรับปรุงมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์แต่ละครั้งมัน ไม่ต่างจากการ “พายเรือวนอยู่ในอ่าง” และเกาไม่ถูกที่คัน การให้บริษัทที่เข้ามาตรการกำกับการซื้อขายระดับที่ 1 เพิ่มในส่วนของการห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณวงเงินซื้อขาย และบริษัทที่เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย
ระดับที่ 2 เพิ่มส่วนของการห้าม Net Settlement และบริษัทที่เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับที่ 3 ต้องถูกห้ามซื้อขายชั่วคราวในวันแรก (1 วันทำการ)
แทนที่จะให้ความรู้กับนักลงทุน กลับกลายเป็นทำได้แค่ห้ามนั่นห้ามนี่ เฮ้อ...แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ตลาดหุ้นไทยจะหนี้พ้นจากวงเวียนเดิมๆ กันได้สักที่ เจอแต่ผู้คุมกฎที่คิดได้แต่เรื่องเก่าๆ มันก็เจอแต่ปัญหาแบบเก่าอยู่ร่ำไป ทางที่ดี ตลาดหุ้น-ก.ล.ต. ควรให้ความรู้นักลงทุน ปลอดภัยจากการตกเป็นเหยื่อรายใหญ่ จะดีกว่านะเจ้าค่ะ
*** การที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมประชุมกับกลุ่มประเทศ G7 ต่อด้วยประชุมกับผู้นำนาโต ก่อนที่จะไปเยือนโปแลนด์เพื่อหาทางระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งหุ้นที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดก็หนีไม่พ้น PTTEP ซึ่งเป็นผู้ผลิตทั้งน้ำมันและก๊าซฯ
ขณะเดียวกันการคลายล็อกดาวน์เนื่องจากปัญหาโควิด-19 ของประเทศต่างๆ ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ตามการเดินทางที่มากขึ้น ส่งผลให้ค่าการกลั่น (GRM) และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวขึ้น
การปรับราคาเพิ่มขึ้นของทั้งค่าการกลั่นและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลโดยตรงกับการดำเนินงานของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันอย่าง TOP IRPC BCP SPRC ESSO รวมไปถึง PTTGC ที่แม้ว่า จะไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มหุ้นโรงกลั่นโดยตรง แต่ PTTGC ก็มีรายได้ที่มาจากธุรกิจการกลั่นน้ำมันอยู่ถึง 30%
ขณะเดียวกันเมื่อราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นมากก็ส่งให้ราคาถ่านหินปรับสูงตามขึ้นมาแบบไม่หยุดเช่นกัน ซึ่งนั่นก็จะจะทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจถ่านหินอย่าง BANPU LANNA และ AGE ต่างก็จะได้อานิสงส์ตามไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหุ้นที่ได้อานิสงส์ในเชิงบวกก็จะมีหุ้นที่พลอยติดร่างแหความซวยตามมาด้วยเช่นกัน หุ้นกลุ่มสายการบินที่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ AAV และ BA ซึ่งเจ็บตัวมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการระบาดของเชื้อโควิด ก็ยังคงไม่สามารถที่จะสร้างผลการดำเนินงานให้กลับมาดีได้ในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากค่าต้นทุนที่มาจากราคาของเชื้อเพลิงที่น่าจะสูงไปอีกนานพอสมควร
*** ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นมากก็จะส่งผลให้ TASCO ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในบริษัทที่มีต้นทุนการผลิตผู้อยู่กับราคาน้ำมันดิบต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงมากขึ้น เนื่องจากยางมะตอยซึ่งเป็นสินค้าหลักของ TASCO คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันนั้นเอง
นอกจากนี้ยังมีบริษัทเจ้าของปั๊มน้ำมันอย่าง OR และ PTG ก็เป็นอีกธุรกิจที่จะมีปัญหา เพราะราคาน้ำมันแพงเนื่องจากน้ำมันดีเซลให้อยู่ต่ำกว่า 30 บาท/ลิตร และยังคงควบคุม marketing margin จนทำให้ประมาณการกำไรของทั้ง OR และ PTG ถูกปรับลงไปประมาณ 4-30% ซึ่งจะส่งผลราคาหุ้นของทั้ง OR และ PTG ก็จะอยู่ที่ราคาแถวๆ นี้ไปอีกนานเช่นกัน
*** แม้ว่า “ตู้เต่าบิน” เป็นสินค้าที่สร้างจุดเปลี่ยนให้กับ FSMART เนื่องจากจุดเด่นในการสร้างสรรค์เครื่องดื่มได้ในหลากหลาย ไม่ต่างเดินเข้าไปซื้อเครื่องดื่มในร้านในราคาที่ถูกกว่า จนทำให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมากเป็นเท่าตัวในเวลาแค่ไม่กี่เดือนนับตั้งแต่การวาง “ตู้เต่าบิน” ลงในพื้นที่เป็นเครื่องแรก แต่เจ๊เมาธ์ยังมองว่าปัญหา “คอขวด” ในเรื่องกำลังการผลิตอาจทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของ FSMART อาจถูกแย่งไปได้ไม่ยากเช่นเดียวกับในช่วงแรกของการวางตู้ขายสินค้าอัตโนมัติที่ผ่านมา
ดังนั้น การที่นักลงทุนจะเข้าไปเก็บหุ้นอย่างเต็มตัว อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องนักเท่าไหร่ ราคาหุ้นมาไกลขนาดนี้สะสมหุ้นด้วยการเก็บของตอนย่อน่าจะดีกว่านะคะ
สุภาษิตหุ้นเค้าว่า “ขึ้นแรง..ก็ลงแรง” นั่นเองเจ้าค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,769 วันที่ 27 - 30 มีนาคม พ.ศ. 2565