“ตัวพ่อธนาธร”ติดกับดัก เพิกถอนโฉนดทับที่ป่าสงวนฯ

30 มี.ค. 2565 | 00:00 น.
อัปเดตล่าสุด :30 มี.ค. 2565 | 12:33 น.

“ตัวพ่อธนาธร”ติดกับดัก เพิกถอนโฉนดทับที่ป่าสงวนฯ คอลัมน์ทางออกนอกตำรา โดย...บากบั่น บุญเลิศ

วันที่ 29 มี.ค. 2565 กรมที่ดินเผยแพร่เอกสารข่าวความว่า “อธิบดีกรมที่ดิน” มีคำสั่งเพิกถอนโฉนด น.ส.3 ก. ในพื้นที่ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี จำนวน 59 ฉบับ เนื้อที่รวม 2,111 ไร่ 1 งาน 69 ตารางวา (ตรว.) ที่ได้ออกเมื่อปี 2521 ตามโครงการเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยใช้ระวางรูปถ่ายทางอากาศมิได้แจ้งการครอบครองที่ดิน


ทว่า ที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ต่อมาได้ประกาศเป็น “เขตป่าสงวนแห่งชาติ” เมื่อปี 2527 จึงถือเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน “ห้ามดำเนินการในเขตป่าไม้ถาวร และเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออก น.ส.3 ก.” ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2527) ข้อ 3 ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น

คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า “น.ส.3 ก.ดังกล่าว ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย สมควรเพิกถอน น.ส.3 ก. ทั้ง 59 ฉบับ”


กรมที่ดินจึงมีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มี.ค. 2565 เพิกถอน น.ส.3 ก. ทั้ง 59 ฉบับ

ถือเป็นการปิดฉากการครอบครองโฉนด 2,111 ไร่ ของ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มีการครอบครองเอกสารสิทธิ์แล้วถูกกล่าวหาว่า “รุกป่า”


ปัญหาที่ต้องพิจารณาและต้องติดตามกันต่อไปคือ คดีความจะจบอย่างไร เพราะนี่คือมาตรฐานของการครอบครองที่ดินในป่าสงวน!


คดีความจะจบเพียงแค่การเพิกถอน น.ส.3 ก. ทั้ง 59 ฉบับ พื้นที่ 2,111 ไร่ ของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มีการครอบครองเอกสารสิทธิ์หรือไม่


น.ส.3 ก.จำนวน59 ฉบับ มีเนื้อที่ทั้งหมด 2,154-3-82 ไร่ อยู่ในพื้นที่ ต.รางบัว ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี


นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือครองจำนวน 53 ฉบับ เนื้อที่ 1,940-3-93 ไร่


นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ถือครองจำนวน 5 ฉบับ เนื้อที่ 132-0-22 ไร่


นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือครองจำนวน 2 ฉบับ เนื้อที่ 81-3-67 ไร่


“สมพร-ธนาธร-ชนาพรรณ” จะถูกดำเนินคดีความผิดตามข้อกฎหมายต่อไปเหมือนคนอื่นเขาหรือไม่? 


ปมใหญ่อยู่ตรงนี้แหละพ่อแม่พี่น้องเอ๋ย...


“ธนาธร”นั้นถือเป็นตัวพ่อที่ออกแรงต่อสู้ทางการเมือง เพื่อเรียกร้องให้ประเทศนี้มีมาตรฐานในการปฏิบัติและสร้างสังคมที่ดีงามใน 3 ด้านหลัก


1.ทุกคนต้องมีเสรีภาพและเสมอภาค 2.สังคมต้องเท่าเทียม 


3.สังคมต้องมีภราดรภาพ (Solidarisme) คือผู้คนทั้งหลายล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียว การกระทำของแต่ละคนมีผลกระทบทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายต่อคนอื่น ความรับผิดชอบของเราจะต้องสูงขึ้น หากมีผู้ตกทุกข์ได้ยาก เพราะความทุกข์ยากของเขานั้น อาจจะมีส่วนมาจากการกระทำของเราเช่นกัน....


ที่ดินของธนาธรครอบครอง จำนวน 1 แปลง เป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 158 ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เนื้อที่ 43 ไร่ 3 งาน ออกเมื่อวันที่ 3 ต.ค.2521 ในชื่อนายอุดม กิตติอุดมพานิช จากนั้นจดทะเบียนเปลี่ยนมือ 3 ครั้ง


12 ก.ย. 2528 จดทะเบียนขายให้แก่ บริษัท ไร่อ้อยมิตรผล จำกัด


13 ธ.ค.2528 บริษัท ไร่อ้อยมิตรผล จำกัด ขายต่อให้ นายสาโรจน์ วสุวานิช รวม 2 แปลง (รวมกับแปลงอื่นอีก 1 แปลง เป็น 2 แปลง)


23 พ.ค.2543 นายสาโรจน์ จดทะเบียนขาย รวม 2 แปลง ให้แก่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้ครอบครองคนสุดท้าย


ปกติแล้วไซร้ ผู้ใดที่ครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งกรมป่าไม้ประกาศไว้ชัดว่าป่าสงวนแห่งชาติ คือ ป่าที่ประกาศไว้เพื่อสงวนและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีหลักเขตและป้ายเครื่องหมายเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยติดประกาศไว้ที่อำเภอ กิ่งอำเภอ และที่เปิดเผยในหมู่บ้าน


“ห้ามยึดถือ/ครอบครอง/ทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัย/ก่อสร้าง/แผ้วถาง/เผาป่า/ทำไม้/เก็บหาของป่า หรือทำให้ป่าสงวนแห่งชาติเสื่อมสภาพ ใครฝ่าฝืนมีบทลงโทษ  “จำคุก 1 – 10 ปี และปรับ 20,000 – 200,000 บาท” อันนี้มาจากพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และพระราชบัญญัติป่าไม้ 2484 ซึ่งถือว่ามีความผิดต้องโทษจำคุก


เพราะตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 จะมีบทกำหนดโทษ ตามมาตรา 31 ไว้ว่า “ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 14 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 50,000 บาท ในกรณีความผิดตามมาตรานี้ ถ้าได้กระทำเป็นเนื้อที่เกิน25 ไร่ ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 150,000 บาท”


ในคดีประชาชนทั่วไปนั่น มีคำพิพากษาศาลฎีกาหลายดคีแล้วที่เอกชนครอบครองที่ป่าสงวนแล้วโดนอาญาไป แต่ครอบครัว “จึงรุ่งเรืองกิจ” จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ผมไม่รู้ ประชาชนอยากรู้

 

เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7892/2557 ตัดสินว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งต้องห้ามมิให้โอน การเข้ายึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายซึ่งมีโทษตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 15 และมาตรา 31 
 

เพราะสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์อันร่วมกัน ไม่สามารถที่จะโอนให้แก่กันได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา การที่ผู้ซื้อและผู้ขายทำสัญญาซื้อขายที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ถือว่า “เป็นโมฆะ”


ในทางกฎหมายและคดีความ การครอบครองที่ดิน 2,111 ไร่ ของ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ถือว่าพวกเขาติดกับดับของกฎหมายว่าด้วยเรื่องการครอบครองเอกสารสิทธิ์โฉนดไปแล้ว


ผมเท้าความไปให้เห็นภาพการครอบครองที่ดิน จนพันครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ เริ่มจากศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศก.พป.) กรมป่าไม้ ลงพื้นที่ตรวจสอบ และส่งเรื่องให้กรมที่ดินพิจารณาขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก.แปลงดังกล่าว 


เพราะจากการสอบสวนปรากฏว่า มีการตรวจสอบข้อมูล ตำแหน่งพิกัดในพื้นที่จริง และย้ายรูปแปลง น.ส.3 ก.ดังกล่าว จากระวางรูปถ่ายทางอากาศ มาตราส่วน 1:5,000 ลงในระวางรูปถ่ายทางอากาศ มาตรา 1:4,000 ปรากฏว่า น.ส.3 ก.ทั้ง 59 ฉบับ ตำแหน่งที่ดินอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ที่กรมพัฒนาที่ดินได้ขีดเขตป่าลงในระวางแผนที่ และยืนยันแนวเขตที่ได้ขีดไว้แล้วทั้งแปลง อีกทั้งกรมป่าไม้ได้ยืนยันแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ขีดเขตไว้ในระวางแล้วเช่นกัน


อย่างไรก็ดี ยังมี น.ส.3 ก.อีก 1 ฉบับ บางส่วนได้ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในเขตป่าไม้ถาวรดังกล่าว เรื่องอยู่ระหว่างจังหวัดราชบุรี จัดทำรูปแผนที่กันเขต น.ส.3 ก. (เพิกถอนบางส่วน) ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงต่อไป


การดำเนินการจึงเดินทางมาอย่างยาวนาน..มีการตีกลับให้จ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบใหม่ สั่งการให้รับฟังเหตุผลของผู้คัดค้าน คือ ครบครัวจึงรุ่งเรืองกิจด้วย ผลการสอบสวนในช่วงแรกออกมาค่อนข้างชัดว่า เป็นการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ถึงขนาดมีการเปิดรายชื่อเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งก๊วน 


ขณะที่ นางสมพร ได้ซื้อที่ดินปัญหานี้มาครอบครองเป็นมือที่ 2-3 แล้ว และไม่ใช่แค่ครอบครอง น.ส. 3 ก. ที่ออกโดยมิชอบกว่า 2,111 ไร่เท่านั้น นางสมพร ยังบุกรุกครอบครองพื้นที่ป่าอีก 450 ไร่ จนเป็นคดีความ เมื่อมีการตรวจสอบพบว่า นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้ชําระภาษีบํารุงท้องที่ในที่ดิน จึงสันนิษฐานได้ว่า นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ครอบครองที่ดิน น.ส. 2 และภ.บ.ท.5 จํานวน 8 แปลง เนื้อที่ 440 ไร่ ซึ่ง กระทําผิดในฐาน “ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทําการใดๆ อันเป็นการทําลายป่า หรือเข้ายึดถือครองครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น” ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2584 มาตรา 54 ประกอบมาตรา 72 ตรี พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ประกบมาตรา 31


คดีนี้ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ไปตั้งแต่ต้นปี 2564 โดยให้การปฏิเสธและขอต่อสู้คดี จากนั้นคดีก็เงียบหายไป 


กระทั่งวันที่ 1 พ.ย.2564 พล.ต.ต.มานะ กลีบสัตบุศย์ ผู้บังคับการอำนวยการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบก.อก.บช.ก.)  มีคำสั่งไม่ฟ้องคนในตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ 


คราวนี้เมื่อกรมที่ดินมีการเพิกถอนหนังสือ น.ส. 3 ก. แล้วจะทำอย่างไรต่อไป


ผมขอบอกใบ้เลยนะครับ 1.นางสมพร นายธนาธร นางชนาพรรณ ในฐานะเจ้าของที่ดิน จะต้องไปใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อแสดงความบริสุทธิ์


2.จะมีการไล่บี้ฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ออกโฉนด อันประกอบด้วย 1.นายโกศล ลักษิตานนท์ เจ้าหน้าที่รังวัด ผู้กำกับงานภาคสนาม เป็นผู้ลงนามเห็นควรออก น.ส.3 ก ให้ทั้งแปลง 2.นายเฉลิมวงศ์ สรรพศิริ ปลัดอำเภอ ทำการแทนนายอำเภอจอมบึง เป็นผู้ลงนามคำสั่งให้ออก น.ส.3 ก เมื่อวันที่ 
3 ต.ค. 2521


3.การเอาผิดผู้ครอบครองที่ดินจะทำได้แค่ “เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา”


ขณะที่คนธรรมดาจะต้องโดนคดีแน่นอน!