*** ถึงแม้ว่า A5 จะเปลี่ยนตัวผู้ถือใหญ่หุ้นอันดับ 2 จาก “เกรียงไกร ศิระวณิชการ” มาเป็น “ทวีรัช ปรุงพัฒนสกุล” โดยการโยนบิ๊กล็อตให้กันง่ายๆ แต่พฤติกรรมการเล่นราคาหุ้นของ A5 ซึ่งมักจะลากราคาหุ้นขึ้นไปทุบยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย แต่หากจะว่ากันแล้วไม่ว่าจะเป็น “เกรียงไกร” หรือว่า “ทวีรัช” หรือแม้แต่จะเป็น “เกรียงไกร บวกกับ ทวีรัช” ก็ยังมีจำนวนหุ้นรวมกันแล้วไม่ถึงครึ่งของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง “กลุ่มปัญจทรัพย์” ที่มีทั้ง “ศุภโชค ปัญจทรัพย์” และ “ไกวซัน ปัญจทรัพย์” ซึ่งถือหุ้นรวมกันแล้วเกือบๆ 50% ของปริมาณหุ้นทั้งหมด ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือทั้งที่เป็นผู้มีอำนาจแท้จริงในการควบคุมทั้งทิศทางธุรกิจและทิศทางของการทำราคา แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งสองกลับแทบไม่เป็นข่าวหรือถูกพูดถึงเลยสักนิด ก็ไม่แน่ว่าตราบใดที่ยังไม่มีการออกหน้า...เราก็อาจจะได้เห็นเกมลากราคาขึ้นไปทุบแบบนี้ต่อไปอีกนาน แต่ถ้าใช้งาน “นอมินี” บอบชํ้ามากๆ ก็ระวังว่าจะมีใครมาทำงานนะคะ แสดงแทนเค้าก็เหนื่อยเป็นเจ้าค่ะ
*** PTTEP ยังโกยรายได้จากส่วนต่างของราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง เพราะราคาพลังงานยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการที่ทาง EU เดินหน้าลดการซื้อสินค้าพลังงานของรัสเซีย โดยที่ทางกลุ่มโอเปคไม่ยอมเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อชดเชยส่วนที่ขาด ซึ่งหากเป็นแบบนี้ต่อไป ก็คาดว่านอกจากผลงานไตรมาส 1/65 ที่คาดว่าจะออกมาดีมาก ผลงานของ PTTEP ยังคงจะดีต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 2/65 เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจที่ราคาหุ้นของ PTTEP ยังไปได้สูงมากกว่านี้ เพราะถ้าหากว่ารายได้งามและกำไรดี ราคาหุ้นมันก็ต้องดีตามไปด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ
*** มูลค่าหุ้น THG ของหมอบุญหายไปเกือบ 40% ในเวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์ หลังจากที่ใช้เวลามากถึง 4 เดือน ในการปั้นราคาให้ขึ้นมาแตะราคาหุ้นสูงสุดที่ 99.50 บาท โดยมีประเด็นในเรื่องผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นมากในปี 64 รวมถึงโครงการโรงพยาบาลใหม่ที่กำลังจะเปิดมาเป็นตัวขับดันราคา
อย่างไรก็ตาม รายได้ที่เพิ่มมากขึ้นของ THG ในปี 63-64 เป็นรายได้พิเศษที่มาจากการตรวจและรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มาจากการสนับสนุนจากทางภาครัฐ แต่เนื่องจากภาครัฐปรับรูปแบบการรักษาพยาบาลให้เป็นการใช้สิทธิ์การรักษาเป็นแบบปกติ ทำให้ในปี 65 รายได้ส่วนนี้ก็จะไม่มีอีกแล้ว ซึ่งเจ๊เมาธ์ก็ไม่แน่ใจว่าราคาหุ้นของ THG จะปรับลงไปอีกหรือไม่นะคะ จะรู้ก็แค่ว่า บล.ธนชาต ให้ราคาเป้าหมาย 43 บาท ส่วนทาง บล.โนมูระ ให้ราคาเป้าหมาย 39.80 บาท แนะนำขาย...หรือลดจำนวน ก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ
*** หากเทียบราคาหุ้นในวันที่ถูกจับติดแคชฯ กับราคาหุ้นหน้ากระดานปัจจุบันดูเหมือนว่า JTS จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าหุ้นตัวอื่น ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะจำนวนหุ้นหมุนเวียนของ JTS ดูเหมือนว่าจะถูกควบคุมโดยสมบูรณ์ไปแล้ว โดยจะสังเกตได้จากปริมาณหุ้นที่ทำการซื้อขายในแต่ละวันจะมีจำนวนที่ค่อนข้างน้อย อีกส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะว่าราคาหุ้นของ JTS ถูกปล่อยให้โตขึ้นมาก จนการขยับตัวในแต่ละช่วงราคาล้วนแล้วแต่สร้างผลกระทบจนนักลงทุนแทบจะไม่กล้าขยับตัว เพราะนอกจากราคาหุ้นจะสูงมาก และตัวหุ้นเองก็ยังไม่มีสภาพคล่อง บอกเลยว่าถึงนาทีนี้เจ๊เมาธ์ยังมองไม่เห็นหนทางเลยว่าจะสามารถออกจากหุ้นตัวนี้โดยที่ไม่เจ็บตัว...หรือเจ็บตัวน้อยที่สุดได้ได้อย่างไร ก็ได้แต่ให้กำลังใจกันก็เท่านั้นเองนะคะ...เอาเป็นว่าขอให้เจ็บน้อยที่สุดก็แล้วกันค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,781 วันที่ 8 - 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2565