ระยะเวลาที่มีโรคระบาดโควิดเข้ามาสู่สังคมมนุษย์ ทำให้ผมได้มีโอกาสได้พักผ่อนจากการทำงานมากขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก โดยที่ผ่านๆ มาผมมักจะใช้เวลาเดินทางไปทำธุรกิจที่ประเทศเพื่อนบ้าน เดือนหนึ่งๆ ก็ประมาณเกือบครึ่งเดือน
โดยส่วนใหญ่เวลาที่อยู่ในตลาดนั้น ผมก็จะมีอะไรให้ได้ทำแทบจะไม่เคยว่างเว้น เวลากลับเข้ามาที่พัก ก็มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่นั้น อยู่บนเตียงนอนเพราะจะเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเบื่อหน่าย เพราะจะสนุกกับการทำงานและได้เดินทางตลอด แต่ช่วงที่มีโรคระบาดโควิด แม้จะได้ทำงานด้านสังคมอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ก็มีความสุขดีครับ
แม้จะมีความสุขในการทำงาน แต่สภาพร่างกายก็มีความรู้สึกว่าถดถอยลงไปเยอะเหมือนกัน อาการที่เห็นเด่นชัดก็คือ เบอร์โทรศัพท์ที่เมื่อก่อนนี้จะเป็นคนที่จำเบอร์โทรศัพพ์เลขแปดตัวได้แม่นยำมาก แต่ปัจจุบันนี่จะจำไม่ค่อยได้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่า ปัจจุบันนี้เราใช้การบันทึกหมายเลขกับเครื่องโทรศัพพ์ พอนึกอยากจะโทรก็กดไปที่ชื่อคนที่เราจะโทรถึง เบอร์โทรศัพพ์ก็โผล่ขึ้นมาแล้ว ทำให้ไม่จำเป็นต้องจดจำ
แต่ว่าชื่อของเพื่อนๆ หรือชื่อของคน จากเดิมจะจำแม่นเช่นกัน แต่ก็อีกนั่นแหละ ก็มักจะลืมครับ หรือการอ่านหนังสือ แม้ผมจะเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก เขียนหนังสือเยอะ ทำให้ความจำดี แต่ปัจจุบันนี้ต้องมีสมุดโน้ตให้ใส่กระเป๋าไว้เสมอ มิเช่นนั้นจะลืมเสมอเช่นกัน
อาการอีกอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกถดถอย ก็คือการร่วมพูดจาสนทนากับผู้คน เวลาที่ใจนึกอยากจะพูด แต่พอเพื่อนๆ ไม่เว้นช่องว่างให้ผมได้พูด ก็แย่งเขาพูดไม่ทันเสมอ หรือบางครั้งที่ร่วมวงเสวนาอยู่นั้น มีการเปิดโอกาสให้ผมได้พูด ก็มักจะพูดไม่ได้ดังใจที่ปารถนาเสมอ
หรือมัวแต่อึกๆ อักๆ พูดไม่ค่อยออก จนบางครั้งเวลาพูดคุยกับภรรยา เขามักจะบอกว่า “อยากจะพูดอะไรก็พูดเร็วๆ สิ มัวแต่อึกอักอยู่ได้ เธอทำไมพักหลังๆ มานี้ พูดไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วนะ” ก็จะทำอย่างไรได้ สังขารมันเริ่มไม่ค่อยอำนวยแล้วนี่นา...
ที่น่าสัเกตอีกอย่างคือ ผมรู้สึกตัวเองว่า เวลานั่งชมทีวีอยู่ที่บ้าน มักจะจำช่องที่เคยชอบดูไม่ค่อยได้ เรื่องเช่นนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยครับ เพราะทีวีที่เราดูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ช่องที่ดูก็มักจะเป็นช่องซ้ำๆเดิมๆ แต่ปัจจุบันนี้ พอทิ้งช่วงไปสักไม่ถึงเดือนไม่ได้เปิดดูช่องเดิม ก็จะลืมว่าอยู่ช่องที่เท่าไหร่ หรืออาจจะมโนฯไปเองหรือเปล่าน๊า.... เพราะในอดีตช่องทีวีมีให้เลือกน้อย จึงทำให้จำได้ไม่ยาก แต่ปัจจุบันมีหลายสิบช่อง หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ เรายังไม่แก่นี่นา....
แต่สังขารเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง อาการปวดเมื่อยทั้งต้นคอ ทั้งบ่าไหล่ มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าปัจจุบันนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง เวลาเราเดินสำรวจตลาด หรือการเดินทางไปพบลูกค้า ก็ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเหมือนปัจจุบัน
หรือว่าในช่วงดังกล่าวนั้น เรายังคงต้องการเงิน ทำให้มีความสุขกับการได้ค้า-ขาย เลยลืมอาการเหน็ดเหนื่อย แต่ปัจจุบันนี้ เริ่มมีความอยากได้ใคร่มีน้อยลงไปเยอะ จึงทำให้ความกระตือรือร้นลดลงตามลงไปด้วย นั่นคงเป็นสัญญาณว่าตัวเองเริ่มแก่ตัวลงนั่นเองครับ
อีกหนึ่งอาการที่น่าจะเป็นตัวบ่งบอกคือ อาการง่วงนอนกลางวัน แต่ตาสว่างกลางคืน อาการเช่นนี้ผมเองก็เคยพบเห็นผู้สูงอายุท่านหนึ่ง ที่ผมให้ความเคารพและใกล้ชิด เมื่อหลายปีก่อนเวลามีการประชุมกันกับผม พอนั่งประชุมกันไปได้สักพัก ท่านก็แอบนั่งเอนหลังและหลับตา สักพักหนึ่งก็เห็นท่านหลับไปแล้ว แม้จะเป็นเวลากลางวัน ที่ไม่น่าจะเป็นเวลาพักผ่อนด้วยซ้ำไป
ซึ่งในช่วงแรกๆ ผมเองก็แปลกใจว่าสงสัยเมื่อคืนท่านคงจะนอนไม่พอ แต่พอตัวเองอายุมากขึ้น หากวันไหนงานไม่ยุ่งมากจนเกินไป เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็มักจะเริ่มมีอาการง่วงนอนเกิดขึ้นบ่อยๆ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะแก่ตัวลงแล้วกระมั้งครับ
สัญญาณที่เป็นตัวบ่งบอกถึงความผิดปกติของผู้สูงวัย ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องปกติ ที่เป็นไปตามอายุของตัวเราเอง ซึ่งแม้จะไม่มีอาการเจ็บป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่น่าจะเป็นมาจากวัยที่มากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นสัญญาณที่อันตรายต่อตัวเราเอง
ถ้าหากเป็นคนที่ว่างงานหรือไม่ค่อยมีงานการสักเท่าไหร่ คงจะเกิดอาการดังที่กล่าวมานี้ เมื่อเวลานานวัน ก็อาจจะทำให้กำลังใจหรือความกระตือรือร้น ในการใช้ชีวิตลดน้อยถอยลง ความแก่ก็จะเข้ามาเยือนได้ง่ายๆ ร่างกายก็จะทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วนั่นเอง
ดังนั้น เมื่อเรารู้ตัวว่าแก่ตัวตามอายุขัยแล้ว ควรจะต้องหางานที่ให้เกิดการรอคอยทำ เช่นการร่วมสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้าง การร่วมงานสมาคมหรือชมรมต่างๆ ที่มีกิจกรรมมากขึ้น หรือการหาเกมส์ที่มีผลให้ติดตามบ้าง จะได้ทำให้เราไม่แก่ตัวง่ายๆ ไงครับ