KEY
POINTS
ที่จริงหัวเรื่องสำหรับสัปดาห์นี้จะต้องยาวหน่อย เปนว่า ‘พระ-แม่-ย่า : วัฒนธรรมการสร้างรูปเคารพสตรีอย่างรูปพระพุทธ’
นานมาแล้วในความเคารพนับถือท่านผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงของผู้คนในสังคมโดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ยามเมื่อท่านได้จากไปโดยประกอบคุณความดีหรือมีลักษณะเชิงปาฏิหาริย์ อนุชนรุ่นหลังก็เคารพกราบไหว้รูปของท่านผู้นั้น ซึ่งมักจะสร้างโดยวัตถุมีค่าโลหะจำพวก เงิน ทอง นากต่างๆ ถือเป็นศิลปะวัตถุที่นอกจากสวยงามน่าพิศวงแล้วยังทำให้ บุคคลนอกชุมชน งุนงงไปด้วยว่าพระพุทธรูปสตรีมีด้วยหรือ? พาลให้เกิดความสับสนไปกันใหญ่เกี่ยวกับสภาวะฟการไม่มีเพศของผู้ซึ่งอยู่ในระบบฝ่ายธรรมะของโลก ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าพระพุทธรูปนั้นคือตัวแทนของการจำลององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กราบไหว้เสมอไป
เรื่องของการสร้างพระแทนตนนั้น ถ้าหากว่าพูดกันตามภาษาชาวบ้านมองไปในรั้ววังก็จะพบว่ามีศัพท์คำว่าฉลองตน/ฉลององค์
พระพุทธรูปฉลององค์ คือการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาโดยจำลองแบบรูปร่างหน้าตาให้เหมือนกับ ‘องค์’ หรือร่างกายของท่านผู้สร้างสัดส่วนความสูงก็เท่ากัน ซึ่งวัตถุประสงค์อาจเป็นไปเพื่อสะเดาะเคราะห์ก็ดี จะเป็นไปเพื่อให้เป็นที่สถิตของดวงจิตดวงวิญญาณท่านผู้นั้นก็ดี จะให้เป็นที่ปรากฏเปนศาสนวัตถุเพื่อเป็นบุญกุศลแก่ ‘องค์’ ที่ได้ฉลองสืบไปภายหน้าแม้จะสิ้นอายุขัยความเปนมนุษย์ในภพชาติที่สร้างไปแล้วก็ดี หรือแม้กระทั่งสร้างเพื่ออุทิศในภายหลังจากที่ได้เสียชีวิตไปแล้วให้ลูกหลานกราบไหวก็ดี ล้วนแต่เป็นที่น่าสนใจในเชิงของที่มาของศิลปกรรมอันมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างไปจากกระบวนการนับถือพระพุทธศาสนาอย่างเถรวาทตามปกติ
พระพุทธปฏิมาสำคัญในบ้านเมืองอย่างเช่นรูปปฏิมาคุณพ่อบ้านแหลม วัดเพชรสมุทรวรมหาวิหารเมืองแม่กลองซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ถือว่ามีความงดงามและศักดิ์สิทธิ์มากนั้น นักประวัติศาสตร์นักศิลปศาสตร์ก็สันนิษฐานอย่างมั่นใจกันว่าหลวงพ่อบ้านแหลมท่านเป็นพระพุทธรูป ‘ฉลององค์’ ของท่านใดท่านหนึ่งลอยตามน้ำมา
สัปดาห์นี้พาท่านลงไปเที่ยวเมืองใต้ ไปนครศรีธรรมราชเพื่อชื่นชมศิลปะโบราณวัตถุ พระแม่ย่าที่ร่อนพิบูลย์ ซึ่งอายุจะมีเฉียด 800 ปีเห็นจะได้ ผู้คนขนานนามท่านว่า “พระแม่เศรษฐี”
อันว่าชื่อเมืองร่อนพิบูลย์นี้ เดิมชื่อว่าเมืองร่อนเพราะว่าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสินแร่ในดินชาวเมืองต่างพากันมาร่อนหาแร่ โดยเฉพาะพวกคนจีนที่มีแหล่งรับซื้อแร่ในต่างประเทศร่อนหาแร่บนภูเขา แล้วใช้เรือใบบรรทุกออกไป เพราะยุคหลังมานี้พวกทำเหมืองใช้เรือขุด เดินเรือขุด ขุดไปพบสมอเรือโบราณที่คลองหนานปู ซึ่งไปเชื่อมกับคลองเสาธง ไหลไปออกแม่น้ำปากพนัง จึงค่อนข้างมั่นใจว่าเมืองร่อนพิบูลย์ในสมัยโบราณเดิมคงจะเป็นท่าเรือเก่าเปนแน่ ชาวเมืองทำแร่นับถือศรัทธาในพระแม่เศรษฐีมาก จึงมักจะเป็นผู้ลากพระเป็นประจำ ซึ่งชาวอำเภอร่อนพิบูลย์ไม่ว่าจะไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อื่นใดเมื่อถึงวันประเพณีลากพระของทุกปี มักจะกลับมาลากพระแม่เศรษฐี เพื่อเปนสิริแก่ตัว เปนมงคลแก่ครอบครัว
พระแม่เศรษฐีนี้ลักษณะท่านเป็นอย่างพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรสร้างจากโลหะผสม มีเค้าหน้าและโครงสรีระอย่างสตรีเพศ มีเครื่องประดับอย่างกำไลข้อมือข้อเท้าสร้อยคอ ดวงเนตรแต่เดิมทำจากนิลดำ
ตำนานพระแม่เศรษฐีนี้มีหลายสำนวน แต่สำนวนที่ฟังดูแล้วสมเหตุสมผลมากที่สุด กล่าวถึงว่าสมัยที่ตัวเมืองนครศรีธรรมราชตั้งอยู่ท่าเรือเมื่อราว ๗๐๐ -๘๐๐ ปีเศษล่วงมา (ในประวัติศาสตร์มีการตั้งเมืองนคร ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ตั้งที่ท่าเรือ ครั้งที่ ๒ ตั้งที่ศาลามีชัย และครั้งที่ ๓ ตั้งในที่ปัจจุบัน) บ้านเดิมของแม่เศรษฐีอยู่ที่กรุงมาศ มีนายบ้านชื่อ นายกรง มีหน้าที่ปกครองและส่งภาษีอากรไปยังตัวจังหวัด (คล้ายนายอำเภอผสมกับคลังอำเภอ) ท่านมีภรรยาชื่อ นางมาศ มีธิดา ๑ คน ชื่อ พิม อายุ ๑๕ ปี ผิวพรรณวรรณะผ่องใสอย่างทองทาลักษณะเป็นผู้มีบุญ
วันหนึ่งพี่เลี้ยงพาธิดาพิมไปเล่นน้ำที่โตนติดทองขณะกำลังเล่นน้ำด้วยความเพลิดเพลินอยู่นั้นเกิดพายุ ทำให้น้ำเชี่ยวพัดเอาธิดานายบ้านจมหายไปพร้อมกับพี่เลี้ยง ไม่สามารถหาศพได้ นางมาศมารดาเสียใจมากจึงไปบวชเป็นแม่ชีอยู่ที่วัดไสยโต
คราวหนึ่งนายกรง ได้ไปส่งส่วยในตัวเมือง ได้ทราบว่ามีช่างหล่อพระจากสุโขทัยมาอยู่ที่บริเวณหาดทรายแก้ว (วัดพระมหาธาตุปัจจุบัน) จึงนำเรื่องกลับไปปรึกษาแม่ชีมาศและญาติๆ และตกลงกันที่จะรวบรวมทรัพย์สมบัติมาหล่อเป็นพระพุทธรูปเพื่ออุทิศให้กับธิดา
ดังนั้นนายบ้านกรงจึงเดินทางจากบ้านกรุงมาศโดยใช้เส้นทางผ่านบ้านใหม่ บ้านเตย บ้านปลา ฯลฯ ไปจนถึง หาดทรายแก้ว นายกรงได้ว่าจ้างหล่อพระโดยบรรยายลักษณะของลูกสาวให้ช่างหล่อทราบโดยละเอียด ช่างหล่อจึงจัดการหล่อพระจนสำเร็จออกมาเป็นอย่างพระพุทธรูป โดยประกอบพิธีบวงสรวงอภิเษกเรียบร้อย ชาวบ้านเรียกติดปากว่า ท่านเป็น ‘พระร่วง’-บ่งนิยามความหมายว่าสกุลช่างสุโขทัยมาทำพระ
อย่างไรก็ดีเนื่องจาก เทคโนโลยีขณะนั้น อุปกรณ์เครื่องมือยังไม่ทันสมัยเนื้อโลหะของพระพุทธรูปแม่เศรษฐีซึ่งใช้ทั้งทองนาค, ตะกั่ว,ทองเหลือง ฯลฯ จึงไม่อาจผสานสนิทเป็นเนื้อเดียวกันได้ ทำให้น้ำหนักสีผิวแต่ละแห่งไม่เท่ากัน อาทิ ช่วงพระพักตร์ดำ ด้านหลังเป็นสีทองและค่อนข้างขรุขระ บางแห่งผุดเห็นเป็น ก้อนโลหะ งาน finishing ยุคนั้นท่านไม่มีเครื่องขัดจึงใช้ขัดหินด้วยมือ สวยงาม rustic มากๆ
ช่างหล่อจะใช้เวลาในการหล่อพระเท่าใดไม่รากฏ เมื่อหล่อเสร็จนายกรงได้จัดกระบวนแห่พระพุทธมาไว้ที่วัดไสยโต จากนั้นได้ปรึกษากับญาติๆ อีกว่า ตอนยังเป็นลูกสาวเคยมีพี่เลี้ยงคอยปรนนิบัติ ดังนี้จึงควรต้องหาพี่เลี้ยงไว้คอยเฝ้าดูแล ซึ่งคงจะต้องเป็นผู้ชาย เพราะโบราณถือว่า ผู้หญิงแตะต้องพระพุทธรูปไม่ได้ (รูปของลูกสาวได้เกิดการเปลี่ยนผ่านเปน พระพุทธรูปไปแล้ว)
งานนี้จึงมีพี่เลี้ยงชายคนเดียวเท่านั้นที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างข้าพระ สามารถอัญเชิญไปยังที่ต่างๆ เช่น ไปสรงน้ำ คนที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงพระพุทธนี้ต้องอยู่ในศีลธรรมเข้าใจคติธรรมชาติของพระพุทธรูป และดูฤกษ์ยามได้ โดยที่พระพุทธรูปจะดลบันดาลหาผู้ที่จะมาสืบทอดตำแหน่งพี่เลี้ยงเองมิได้เป็นการสืบทอดสายโลหิต
ในระหว่างที่พระพุทธรูปนี้ประดิษฐานอยู่ ณ วัดไสยโตนั้น วัดยังไม่เจริญ พระจึงถูกอัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดร่อนนา เมื่อนำพระพุทธรูปมาประดิษฐานที่วัดร่อนนาได้ระยะหนึ่ง เกิดโรคห่า (อหิวาตกโรค) ระบาดชาวบ้าน ต่างพากันละทิ้งถิ่นฐานหนีตายไปกันหมด พี่เลี้ยงพระพุทธรูปก็ต้องหาทางหนีตายเช่นกัน จึงได้นำพระพุทธรูปไปซ่อนโดยนำไปจมไว้ในแอ่งน้ำที่หนองตะเคียน แล้วในไม่ช้าพี่เลี้ยงพระก็ถึงแก่กรรม
จากนั้นเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบชัด จึงมีคนเลี้ยงวัวไปผูกวัวที่เลี้ยงเข้ากับยอดเกศพระพุทธรูปซึ่งเวลานั้นดินปลวกพอกไว้จนสูงมองไม่เห็นตัวพระ ข้างคนผูกปรากฏว่าประสบอาการปวดท้องรุนแรงเมื่อหาทางแก้ไขจากผู้มีคุณวิเศษทางจิตจึงได้ทราบว่าได้ล่วงเกินพระเข้าเสียแล้ว จึงได้แก้ไขโดยขุดแต่งและนำกลับมาประดิษฐานที่วัดร่อนนาดังเดิม ต่อมาวัดร่อนนาเกิดร้าง กรรมการจึงได้อัญเชิญประดิษฐานยังวัดร่อนใน ซึ่งเจริญกว่ามีผู้คนเข้าวัดมากกว่า
อีกทีนี้ตามที่เกริ่นไว้ว่าร่อนพิบูลย์นี้มีแร่มากเป็นทรัพย์ในดิน ที่ดินของวัดร่อนในนั้นมีแร่อยู่มาก มีการผาติกรรมขายที่วัดให้กับบริษัททำเหมืองแร่ พระพุทธรูปทั้งหมดในวัดจึงถูกอัญเชิญไปฝากไว้ที่โรงชั่วคราวในวัดพิศาลนฤมิตร ซึ่งไม่สะอาดเพราะมีควายเข้าไปทำสกปรกในโรงชั่วคราวนั้น
จนเมื่อวัดร่อนนาเจริญขึ้น พระพุทธรูปได้ไปเข้าฝันกรรมการวัดร่อนนาว่า อยู่วัดพิศาลนฤมิตรถูกวัวควายรบกวนมาก ให้อัญเชิญมาวัดร่อนนา จนมาประดิษฐานไว้ที่นี่จนถึงปัจจุบัน ท่านมีชื่อเป็นทางการว่า “พระพุทธรูปเศรษฐี” แต่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า“แม่เศรษฐี” หรือ “พระแม่เศรษฐี”
ยุคปี 2520 มีผู้หญิงนับถือมากกว่าผู้ชาย ไฮไลท์ที่สำคัญ เกี่ยวกับกรณีพระแม่นี้คือว่าเมื่อถึงเวลาออกพรรษาแล้วต้องมีการแห่พระ ซึ่งอาจใช้คำว่าชักพระหรือลากพระก็แล้วแต่ โดยจะจัดขึ้นหลังวันออกพรรษา 1 วัน เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จกลับสู่มนุษย์โลกทางบันไดแก้วทิพย์ ดังนั้น ฝ่ายพุทธศาสนิกชนจึงนำเอาพระพุทธรูปมาแห่แหนสมมติแทนพระพุทธองค์ เสด็จนิวัตกลับพระนคร ชาวบ้านต้องทำต้ม_ข้าวเหนียวผัดกะทิมาห่อด้วยใบกะพ้อ เป็นรูปสามเหลี่ยมนึ่งผูกรวมเป็นพวงเอามาไว้ใส่บาตร ใช้ประดับเรือพระ หรือเป็นอาหารระหว่างงานชักพระ เกิดเปนสำนวนว่า “เข้าหน้าตอก ออกหน้าต้ม” กล่าวคือในเวลาเข้าพรรษาชาวพุทธจะถวายตอกส่วนในเวลาออกพรรษา ชาวพุทธจะถวายต้ม (คนใต้เรียกคำสั้นๆ)
ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญการจะจำลองภาพการเสด็จกลับจากดาวดึงส์ให้สมจริงนั้น พระที่จะเชิญมาแห่ควรต้องอยู่ในอิริยาบถการยืนเพราะพระพุทธเจ้าท่านก้าวกลับลงมาบนบันไดแก้ว พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ก็เปนทรงยืน มีความเหมาะสมกับการณ์ พระแม่ปางยืนและ/หรืออุ้มบาตรจึงได้รับการขนานนามอีกว่า ‘พระลาก’ ไปด้วย
วัดร่อนนาจะอัญเชิญพระแม่เศรษฐีขึ้นมาประดิษฐานบนบุษบกเรือพระ แต่งหน้าทาปากท่านอย่างงามทรงเครื่องต่างๆเต็มองค์ โดยการลากพระแม่เศรษฐีนี้ดั้งเดิมมาเรือพระจะไม่มีล้อลากเหมือนวัดอื่นๆ ใช้ฐานไม้ยาวอย่างว่าเหมือนขาสกีอย่างหนาผู้คนนับร้อยพันมีความศรัทธาจะพากันนำความตั้งใจมาเพื่อลากพระแม่เศรษฐี พร้อมกับบรรเลงเครื่องดนตรีประโคมไปตลอดทาง มีทั้งทับโพน กลอง ฆ้อง โหม่ง ฉิ่ง และฉาบ ในงานลากพระ ของอำเภอร่อนพิบูลย์ พระแม่เศรษฐีจะถูกอัญเชิญเข้าร่วมขบวนและเป็นประธานของพระพุทธรูป (พระลาก) จากวัดต่างๆ และถ้ามีการประกวดเรือพระ พระแม่เศรษฐีจะอยู่นอกเหนือกฎกติกา คือ ไม่มีการประกวดร่วมกับพระพุทธรูปอื่นๆชาวอำเภอร่อนพิบูลย์ ทั้งคนไทยและคนไทยเชื้อสายจีน มีความเคารพสักการะด้วยศรัทธาต่อพระพุทธรูปองค์นี้อย่างหนักแน่นมั่นคงทั่วหน้ากัน
ส่วนว่ากรณีศิลปะรูปเคารพอย่างพระพุทธที่เป็นสตรีองค์อื่นๆ ซึ่งได้ปริวรรตกลายเปนที่พระพุทธรูปไปแล้วนั้น ที่นครศรีธรรมราชยังมีองค์ที่งดงามอีกมากไม่ว่าจะเป็นพระแม่แก่ที่ วัดก้างปลา ตรงทุ่งสง ท่านมิได้มาองค์เดียวแต่มีรูปเคารพเปนทีมงานสตรีมาด้วยอีก 2 ท่าน พระแม่ชุม วัดท่าช้าง พระแม่แก่ วัดหนองแค ฯลฯ
ระยะหลังมานี้ สถาบันช่างศิลป์ท้องถิ่น ซึ่งเป็น 1 ใน 5 สถาบันของวิทยสถานสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย ในกระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.) ได้รับทุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และเงินสนับสนุนจากครอบครัว ‘บวรรัตนารักษ์-พงษ์พานิช’ จัดสร้าง ‘พระลากแม่ยุพา’ ซึ่งเปนการจำลองลักษณะสตรีใจบุญบรรพชนของสองครอบครัวดังกล่าว ในรูปแบบโกลนไม้ขนุนหุ้มด้วยแผ่นเงิน แกนเป็นไม้ขนุน พระเศียรหนามขนุน ทำพระเกตุเป็นสามกษัตริย์ พระบาทมีเดือย พระพุทธรูปองค์นี้แทบจะถอดได้ทั้งองค์ จากฝีมือของ ยศไกร กาญชนะชัย ศิลปินรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ สาขาศิลปะไทย ร่วมกับทีมช่างชั้นครู อาทิ ศักดิ์ชัย สินธุรงค์, นิคม นกอักษร, วิรัตน์ อามิตร รวมถึง นพรุจน์ นุกูล หรือ ‘บังหลีม’ ช่างโลหะที่เชี่ยวชาญการสลักดุน แห่งนครศรีธรรมราช งามงดศิลปะน่าชื่นชมยิ่งนัก