ส่อยืดเยื้อหลัง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะลงพื้นที่ตรวจสต๊อกข้าวที่เหลือใน 2 คลังสุดท้ายในโครงการรับจำนำข้าว ที่ตกค้างมาจากสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ จ.สุรินทร์ ที่มีข้าวเหลืออยู่ทั้งสิ้นประมาณ 1.5 หมื่นตัน
เป็นกระแสดราม่าขึ้นมา เมื่อคณะมีการหุงและกินข้าวโชว์ ระบุเป็นข้าวที่ยังกินได้ และเตรียมระบายให้กับผู้ค้าข้าว คาดจะขายได้ราคาดี 15-18 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 15,000-18,000 บาทต่อตัน มีเหตุผลสนับสนุนจากเวลานี้ตลาดโลกมีความต้องการข้าวเก่า โดยเฉพาะตลาดแอฟริกาที่ขาดแคลนข้าว หลังอินเดียผู้ส่งออกเบอร์ 1 โลกระงับการส่งออกข้าวขาวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อความมั่นคงทางอาหารในประเทศ
กระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ แม้ข้าวจะกินได้ แต่มีความปลอดภัยหรือไม่ หลังภาพที่ปรากฏทางสื่อลักษณะทางกายภาพของเมล็ดข้าวที่ตกค้างสต๊อก มีสีเหลืองงา มีมอดแมลงเจือปน อีกทั้งในข้อเท็จจริงข้าวในคลังดังกล่าว มีการรมยาเพื่อป้องกันมอดแมลงทุก 1-2 เดือน จะมีสารตกค้างอันตรายหรือไม่
ต่อมาผลการตรวจสอบข้าวล็อตดังกล่าวของศูนย์วิจัยข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในเบื้องต้น ด้วยเครื่องมือทดสอบ (Test Kit) ที่แบ่งข้าวออกเป็น 3 ส่วน และทำการทดสอบ 3 ครั้ง พบครั้งที่ 3 มี 1 ตัวอย่าง มีผลเป็น Positive ถือมีความเป็นไปได้ที่จะมีสารอะฟลาท็อกซิน(สารก่อมะเร็ง) เจือปน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาวหากมีการนำไปบริโภค
นายภูมิธรรม รองนายกฯ และเจ้ากระทรวงพาณิชย์ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ขอให้ทุกฝ่ายใช้ข้อมูลและความรู้ที่ถูกต้องในการวิจารณ์ และอ้างถึงข้อเท็จจริงจากอดีตถึงปัจจุบัน ไม่เคยตรวจสอบพบว่าข้าวของรัฐที่นำออกมาประมูลขายมีสารปนเปื้อนในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่เคยมีรายงานจากการวิเคราะห์วิจัยว่า การเก็บข้าวและจำนวนปีที่เก็บข้าวทำให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากมีการเก็บรักษาที่ถูกต้องตามมาตรฐาน
เรื่องนี้หากความเห็นของทุกฝ่ายตั้งอยู่บนเจตนาที่บริสุทธ์ ไม่มีวาระซ่อนเร้น จะต้องเร่งพิสูจน์ความจริง โดยกระทรวงพาณิชย์ควรให้ห้องแล็บของหน่วยงานกลางที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายทำการตรวจสอบว่า ข้าวที่ตกค้างมาร่วม 10 ปีนี้ มีสารตกค้างที่เป็นตรายหรือไม่
อาจใช้บริการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) หรือเซ็นทรัลแล็บ, อย. หรือหน่วยงานที่ได้รับความเชื่อถือจากทุกฝ่าย ในการตรวจสอบตามหลักทางวิทยาศาสตร์ หากผลออกมาอย่างไรทุกฝ่ายต้องยอมรับ
ทั้งนี้หากผลที่ปรากฏออกมา เป็นข้าวที่ปลอดภัย คนบริโภคได้ ก็ให้เดินหน้าเปิดประมูลเป็นการทั่วไป ให้ผู้ค้าข้าวนำไปปรับปรุงคุณภาพและส่งออก แต่หากเป็นข้าวที่ไม่ปลอดภัยสำหรับการบริโภค ก็ให้เปิดประมูลเพื่อระบายสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ และมีมาตรการที่รัดกุม ไม่ให้นำข้าวสารดังกล่าวเข้าสู่ระบบตลาดการค้าข้าวปกติเพื่อการบริโภคของคนและสัตว์ทุกรูปแบบ
หากความจริง สิ่งถูกต้องปรากฏ นอกจากจะสยบดราม่าของผู้เห็นต่างรายวันได้แล้ว จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับข้าวไทยในสายตาคนไทยและชาวโลกให้กลับคืนมาอีกครั้ง
การสร้างความโปร่งใสให้กับข้าวล็อตสุดท้ายในสต๊อกรัฐบาลในครั้งนี้ จึงถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการปิดบัญชีจำนำข้าวที่รอมาได้กว่า 10 ปี หากจะรอไปอีกนิดจะเป็นไรไป