ช่วงนี้ปัญหาทางประเทศเมียนมา ไม่มีเรื่องไหนที่จะฮอตเท่ากับเรื่องการเกณฑ์ทหารแล้วครับ ผมไปที่ไหนเจอคนที่ทราบว่าผมเป็นใคร ก็จะสอบถามผมเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นคือผมมีมุมมองอย่างไรกับสถานการณ์การเกณฑ์ทหารในเมียนมา อันที่จริงผมมักจะหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องของการเมืองของประเทศเมียนมามาโดยตลอด เพราะผมมีแนวคิดว่า เราเป็นเพียงเพื่อนบ้านที่มีรั้วบ้านติดต่อกันอยู่ค่อนข้างจะยาว เราไม่ควรที่จะไปวิจารณ์อะไรที่ทำให้ทุกๆ ฝ่ายไม่สบายใจ ควรจะทำตัวให้น่ารักเข้าไว้ อีกประการหนึ่ง ผมเองก็มีธุรกิจในประเทศเมียนมาอีกเยอะ ยังมีบ้านที่ซื้อไว้นานมากแล้วในใจกลางกรุงย่างกุ้ง อีกทั้งบริษัทผมก็ทำธุรกิจในนั้นอยู่อีกเยอะแยะไปหมด ดังนั้นควรจะต้องระมัดระวังในการวิจารณ์ให้ดีครับ
อย่างไรก็ตามต้อง ผมก็ต้องขอแตะนิดๆ ก็พอนะครับ เรื่องของการเกณฑ์ทหารนั้น แน่นอนว่าทางการเมียนมา คงไม่ได้เกณฑ์เอาทั้งหมดเข้ารับราชการทหารหรอกครับ คงจะต้องเป็นการคัดเลือกทหารเสียมากกว่า ตามที่ผมได้เคยวิเคราะห์ไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ดังนั้นคงไม่ต้องกังวลใจว่าประเทศเมียนมา จะกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนทหารมากที่สุดในโลก เราน่าจะกังวลใจแต่เพียงว่า หากมีอาการวิตกกังวลของชาวเมียนมาแล้วอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่ผมคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ว่าแรงงานเมียนมาทั้งระบบจะแปรเปลี่ยนไป
ก็มีคำถามกลับมาจากเพื่อนบางท่านว่า หากกลุ่มของผู้เข้าเกณฑ์ที่จะต้องถูกไปคัดเลือกทหาร เกิดมีอาการเกรงกลัวที่จะต้องไปเป็นทหาร แล้วหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยเรามากจนเกินไป แล้วอะไรจะเกิดขึ้น? ผมก็ตอบไปว่า ไม่ต้องไปกังวลมากถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมยังมีความเชื่อว่า จะมีเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ที่อยากจะหนีบ้านเกิด
นั่นคือ 1. กลุ่มของลูกหลานคนมีอันจะกินทั้งหลาย 2. กลุ่มที่ต้องการอยากจะศึกษาหาความรู้จริงๆ 3. กลุ่มคนที่อยู่ตามตะเข็บชายแดน ที่เคยมาเป็นแรงงานในประเทศไทยเรา 4. กลุ่มที่มีคอนเนคชั่นหรือญาติสนิทมิตรสหายที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยเรา ทั้ง 4 กลุ่มที่กล่าวมานี้ กลุ่มไหนที่น่าจะไม่มีปัญหามากที่สุด น่าจะเป็นกล่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 เท่านั้น กลุ่มที่ 3 และกลุ่มที่ 4 น่าจะมีปัญหากับประเทศไทยเราครับ
ผมคิดว่าปัญหาที่กลุ่มที่ 3 และ 4 ที่จะนำมา คือปัญหาอาชญากรรมเป็นอันดับแรก เพราะทั้งสองกลุ่มนี้ เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เขาจะไปฝังตัวอยู่ที่แห่งหนตำบลใด เพราะเขาเองอาจจะเข้าเมืองมาอย่างผิดกฏหมาย กว่าจะได้หลบหนีเข้ามาได้ ก็เสียเงินเสียทองไปเยอะมาก เมื่อเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเราแล้ว เขาก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ คนที่ต้องการทำงานแบบสุจริต ก็จะทำงานอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่บางคนที่ค่อนข้างจะบ้าบิ่น เขาอาจจะก่ออาชญากรรมอะไรก็ได้ หรือทำงานอะไรก็ได้ที่ขอให้ได้เงินมาเป็นพอ
นี่คือความน่ากลัวของปัญหาแรก ต่อมาที่น่ากลัว คือการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่จะไม่ได้มีการตรวจร่างกายก่อนเดินทางเข้ามาบ้านเรา ก็ต้องไม่ลืมว่าปัญหาโรคเขตร้อนบางชนิด ในประเทศไทยเราได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว เช่น โรคเท้าช้าง โรคโปลิโอ โรคหิต โรคอหิวาตกโรค เป็นต้น แต่ในประเทศเมียนมา ยังมีหลงเหลืออยู่บ้างนะครับ ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นพาหะนำเอาโรคต่างๆ เหล่านั้น มาสู่ประเทศไทยเรามีอยู่ค่อนข้างมากเลยละครับ
ในขณะที่หากเรามองในด้านดี แรงงานเหล่านี้อาจจะส่งผลต่อด้าน Supply for Labor เพิ่มขึ้นอย่างมาก การจ้างงานของกลุ่มแรงงานก็จะมีมากขึ้น การผลิตสินค้าและบริการก็จะมีมากขึ้น จึงต้องบอกว่า เหรียญมีสองด้านจริงๆ ครับ
เรามาดูกลุ่มที่ 1 และ 2 ต่อนะครับ ทั้งสองกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นภาระกับเราเลย อาจจะส่งผลดีต่อประเทศเราด้วยซ้ำไป เราอย่าได้คิดว่าคนเหล่านั้น จะไม่มีกำลังซื้อนะครับ เชื่อเถอะว่าเขามีอันจะกินจริงๆ ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการ ก็คืออยากให้ลูกหลานเขามีการศึกษาที่ดี ถ้าเราไปดูบริษัทจัดการเรื่องการศึกษาในเมียนมา จะเห็นว่าเขาสามารถส่งบุตรหลานของลูกค้าเขา ไปเล่าเรียนที่สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สิงคโปร์ จีน ไต้หวัน ไทย และญี่ปุ่นเยอะมาก ดังนั้นในห่วงเวลานี้ ได้มีเหล่าเศรษฐีเมียนมา ที่บางคนอาจจะมีการซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯไว้บ้างแล้ว หรือบางคนอาจจะยังไม่มี ก็สามารถมาหาซื้อเพื่อให้ลูกหลานได้มาเรียนจะได้พักอาศัยได้
แน่นอนว่าหากเขาเลือกที่จะให้บุตรหลานของเขา ออกมาเรียนหนังสือยังต่างประเทศ แล้วประเทศไหนละที่เขาอยากให้ไป? เขาต้องเลือกจากเหตุผลดังต่อไปนี้ นั่นคือ สถานที่ใกล้ที่สุด ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด สะดวกสบายที่สุด อีกทั้งอาหารการกินและความเป็นอยู่ที่ใกล้เคียงบ้านเกิดมากที่สุด คำตอบก็คือ “ประเทศไทย ...โยเดีย” นี่แหละครับ นี่เป็นโอกาสทั้งฝั่งผู้ขายและฝั่งผู้ซื้อของเราทั้งสองประเทศเลยครับ
ทางสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ได้มีการประชุมร่วมกับทางกลุ่มบริษัท บีอีซี เทโร เอนเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และมีมติเห็นชอบให้จัดงานสัมมนา เพื่อให้ชาวเมียนมาเข้ามาหาซื้อสินค้าที่จะนำเข้าไปจำหน่ายในเมียนมา ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อจะอยู่อาศัยในไทย และเสาะหาสถานการศึกษาให้แก่บุตรหลาน ในวันที่ 9 เมษายนนี้ ท่านใดสนใจที่อยากมาร่วมงาน หรือมาเปิดบูทก็สามารถติดต่อไปที่สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ได้แล้วนะครับ พื้นที่มีจำกัด มาก่อนได้ก่อนครับ