*** STARK เปิดราคาของการซื้อขายชั่วคราวในช่วงวันที่ 1-30 มิ.ย. 66 ที่ราคา 0.25 บาท ก่อนที่ถูกกดลงไปถึง 0.17 บาท ในการเปิดตลาดภาคเช้าจากราคา 2.38 บาท ซึ่งเป็นราคาหุ้นก่อนที่จะถูกแขวนเครื่องหมาย SP เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 66 เพราะไม่สามารถส่งงบปี 65 ได้ตามเวลา
ส่วนสาเหตุที่ราคาหุ้นของ STARK ร่วงลงมาได้หนักขนาดนี้ก็เป็นเพราะมีกติกาที่ระบุว่า ในวันแรกของการซื้อขายชั่วคราวนี้ได้กำหนดราคา ceiling เอาไว้ที่ 4.76 บาท ซึ่งหมายความว่า ราคาหุ้นสามารถปรับราคาสูงขึ้นได้หนึ่งเท่าตัวจากราคาปิดเดิม แต่ในทางกลับกันราคาหุ้น floor จะร่วงลงไปต่ำเท่าไหร่ก็ได้ เพราะจุดต่ำสุดที่กำหนดรับเอาไว้ราคาสุดท้ายคือ 0.01 บาทเท่านั้นเอง
ดังนั้น ในช่วงเวลา 1 เดือนของการกลับเข้ามาซื้อขาย สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับราคาหุ้นของ STARK ต่อจากนี้ไปจะเป็นเรื่องของการซื้อขายเล่นรอบ เพื่อปั่นราคาเก็งกำไรเป็นหลัก โดยที่ไม่มีเรื่องพื้นฐานทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยว และจะเป็นเพียงเรื่องของเกมการเงิน ซื้อขายเก็งกำไรล้วนๆ โดยที่ไม่มีเรื่องอื่นใดเจือปน
อย่างไรก็ตาม หากเจ๊เมาธ์จะมองในมุมลบอย่างเดียว ก็อาจจะดูเหมือนไม่เป็นธรรมไปสักนิด เพราะถ้าจะมองในมุมบวกอยู่บ้างก็จะเป็นในกรณีที่ถ้าหากว่า บริษัทฯ สามารถชี้แจงงบการเงิน หรือ ข้อมูลทางธุรกิจที่มีปัญหาได้จบทั้งหมด ก็จะทำให้ STARK มีโอกาสที่จะกลับเข้ามาซื้อขายในแบบปกติได้อีกครั้ง แต่ถ้าหากชี้แจงไม่ได้หรือชี้แจงไม่เคลียร์...บอกเลยว่างานนี้ถูกฝังยาวแน่นอน
*** ถึงแม้ผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 1 ของทุกปี จะถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่สำหรับ TLI ผลงานในไตรมาส 1/66 กลับไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น แถมยังลดลงไปถึง 17.51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องไฮซีซั่น หรือ แม้แต่เรื่องของดอกเบี้ยขาขึ้น ที่มักจะถูกนำมาใช้เพื่อดันราคาหุ้นกลุ่มประกันภัยมานานน่าจะไม่ช่วยอะไรให้ราคาหุ้นของ TLI ขยับกลับไปที่ราคาไอพีโอได้เลย
ขณะเดียวกัน หากมองไปที่เรื่องทิศทางของดอกเบี้ย ซึ่งกำลังเข้าใกล้จุดสูงสุด หรือ อาจจะถึงกับหยุดการขึ้นดอกเบี้ยไปเลยในช่วงปลายปี รวมไปถึงเรื่องของผลตอบแทนจากพันธบัตรใดๆ ที่มักถูกนำเอามาเป็นสตอรี่เด็ด เพื่อเชียร์หุ้นประกันภัย ก็แทบจะกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าประดับความรู้แต่แทบจะไม่มีผลในทางปฏิบัติแต่อย่างใด
เอาเป็นว่าในมุมของเจ๊เมาธ์ เจ๊มองว่าปัญหาหลักที่แท้จริงของ TLI ก็คือ บริษัทที่สามารถคาดเดาผลการดำเนินงานล่วงหน้าได้ และสำหรับนักลงทุนไทย การคาดเดาผลการดำเนินงานได้ ก็จะทำให้หุ้นตัวนั้นกลายเป็นหุ้นที่ไม่มีเสน่ห์เพราะไม่มีลุ้น นักลงทุนก็เลยมองข้าม เรื่องมันก็มีเท่านี้เอง
บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเมันท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ยังคงมีเรื่องให้ได้พูดถึงอยู่ตลอด ล่าสุด แม้ว่า ALL จะไม่ได้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้งวดที่ 5 ไปทั้งจำนวน แต่การที่บริษัทจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้เพียง 20% คิดเป็นเงิน 1.27 ล้านบาท จากจำนวนเงิน 100% ที่ต้องชำระรวม 6.36 ล้านบาท ประเด็นนี้กลับมาทำให้ราคาหุ้นของ ALL เริ่มที่จะถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง
อย่างหนึ่งเป็นเพราะราคาหุ้นที่ยังคงเคลื่อนที่วนเวียนอยู่ในจุดต่ำสุด นับตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ และอีกอย่างก็เป็นเพราะเงินที่มีปัญหานี้มีมูลค่าเพียงไม่กี่ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท ...หรือไม่แน่ว่าอาจจะมีมูลค่าพอๆ กับราคาของนาฬิกาในข้อมือของผู้บริหารบริษัทบางคนด้วยซ้ำไป
และนี่ก็ยังไม่รวมไปถึงเรื่องที่ ALL ได้เคยตัดขายธุรกิจบางส่วนออกเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ ซึ่งประเด็นนี้ จะกลายเป็นปัญหาในเรื่องของแหล่งที่มาของรายได้ในอนาคตของบริษัท อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยพูดถึงมาแล้วหลายรอบ เอาจริงๆ เจ๊เมาธ์ก็ไม่แน่ใจว่า เรื่องแบบนี้จะมีสาเหตุมาจากธุรกิจ หรือ ว่าเป็นความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในกลุ่มผู้บริหาร หรือ กลุ่มของผู้ถือหุ้นกันแน่ แต่บอกตรงๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว ALL ถือว่าเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัว ที่ควรจะต้องอยู่ให้ห่างอย่างแน่นอน
*** ไม่ว่าภาวะตลาดจะกดดันแค่ไหน ราคาหุ้นที่ 70 บาทกว่าๆ ของเสือนอนกินอย่าง AOT ยังปลอดภัยและยังคงความเป็นหุ้นหลุมหลบภัยชั้นดีเช่นเดิม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาสูงถึง 10 ล้านคนในช่วง 4 เดือนแรกของปี ซึ่งการฟื้นตัวนี้เริ่มเห็นมาตั้งแต่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 ที่เริ่มเข้าที่และในไตรมาส 3/66 จะเห็นได้ชัดเจนสมกับที่ AOT เป็นหุ้นผูกขาดที่แข็งแกร่งที่สุดอีกตัวของตลาดหุ้นไทย และแน่นอนว่าสำหรับเจ๊เมาธ์หุ้นอย่าง AOT ยังคงเป็นหุ้นดีที่น่ามีติดพอร์ตเอาไว้ และยิ่งถ้าหากใครหาจังหวะเข้าตอนที่ลดราคานี่ก็ยิ่งดีใหญ่เลยค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,893 วันที่ 4 - 7 มิถุนายน พ.ศ. 2566