*** ภายหลังจากที่ราคาหุ้นของ JKN ปรับร่วงลงไปแตะ 0.26 บาท ซึ่งเป็นฟลอร์ที่ 4 ภายหลังการประกาศตัวว่าได้ยื่นขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ก่อนที่จะกลับตัวขึ้นมาแตะที่ราคา 0.37 บาท ซึ่งเป็นราคาปิดของฟลอร์ที่ 3 ได้อีกครั้ง ซึ่งนั่นก็มาจากการที่มีนักลงทุนบางส่วน หรือบางคนยังคงมีความเชื่อและความทรงจำในปรัชญาของนักลงทุน “ชาวสวน” ที่มีกับคำกล่าวที่พูดกันว่า “3 ฟลอร์เท่ากับ 1 เด้ง” นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหุ้นตัวนี้ ซึ่งเจ๊เมาธ์พอจะสรุปเป็นข้อๆ ก็อาจจะพอทำให้เห็นว่าในอนาคตอันใกล้ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวนี้บ้าง
อย่างแรกก็ชัดเจนแล้วว่า ถึงตอนนี้ JKN น่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่มีเงินและไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดจากหุ้นกู้ ดอกเบี้ยหุ้นกู้ เจ้าหนี้ทางการค้า หรือ หนี้ใดก็ตามที่ JKN ยัง “ไม่ต้องการจ่าย” ส่วนหนึ่งก็มาจากการ “ขาดสภาพคล่อง” ของบริษัทฯ
อีกส่วนหนึ่งก็มาจากความคุ้มครองที่ JKN ได้รับทันทีภายหลังการยื่นขอฟื้นฟูกิจการ โดยเฉพาะกรณีของการหยุดจ่ายหนี้หุ้นกู้ 7 รุ่น หลังจากที่ JKN อยู่ในภาวะ “พักชำระหนี้” พร้อมแจ้งเลื่อนประชุมผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีกำหนด นั่นก็ทำให้ JKN อาจไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ในประเด็นของการชำระหนี้ไปอย่างน้อยจนกว่าจะถึงการ “นัดไต่สวนคำร้อง” ครั้งแรกของศาลล้มละลายกลางที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 29 ม.ค. 67
อย่างที่สอง ก็เป็นเสียงซุบซิบในโลกออนไลน์ ที่มีคำถามว่า ทั้งที่ผู้บริหารของ JKN รู้ตัวอยู่แล้วว่า ถึงรอบที่จะต้องชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยของหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระในปีนี้ แต่ทำไมกลับไม่มีการเตรียมการใดที่เกี่ยวข้องกับการหาเงินมาใช้หนี้เหล่านั้น และหากจะมีความเคลื่อนไหวในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ก็มีเพียงการลงทุนในแบบที่มีผลตอบแทนไหลกลับเข้ามาอย่างช้าๆ ไปซะอย่างนั้น
อย่างที่สาม เป็นเรื่องของความ “มั่นหน้า” ของตัว “แอน-จักรพงษ์” ที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็ตามที่วิจารณ์ “แอน” บนโลกออนไลน์ก็มักจะมีทีมงานที่อ้างตัว “ทนายความ” ติดต่อไปหา จนเป็นเหตุให้เสียงวิจารณ์ถูกกดให้ “ซาลง” แต่ก็แทนที่ด้วย “การเฝ้ารอดู” ว่าจะทำอย่างที่พูดได้จริงหรือไม่ และเมื่อ “แอน” ทำไม่ได้อย่างที่พูด “การขยี้” จึงเกิดตามมานั่นเอง
อย่างที่สี่ ก็เป็นเรื่องของงบการเงินที่ไม่ว่ากี่ปีต่อกี่ปี JKN ก็จะแจ้งว่ามีกำไรมาตลอด แต่กำไรก็มีเพียงตัวเลขของกำไร แต่กลับไม่มีเงินสด จนมีคำถามว่า เงินที่ว่าเหล่านั้นหายไปไหนหมด รวมถึงมีคำถามถึง “สินทรัพย์ไม่มีตัวตนและลิขสิทธิ์รายการ” ที่อ้างว่า มีมูลค่าอยู่ที่ 6,371 ล้านบาท ว่าสินทรัพย์เหล่านั้นมี “กระบวนการคำนวณมูลค่า” ที่ถูกต้องและมีมูลค่าอย่างที่อ้างจริงหรือไม่ หากว่ามูลค่าที่แท้จริงมีไม่ถึง 6,371 ล้านบาท แล้วจะมีมูลค่าอยู่ที่เท่าไหร่ และเปลี่ยนเป็นเงินได้จริงหรือไม่
ท้ายที่สุด ก็เป็นเรื่องของกิจการของ Miss Universe Organization (MUO) ซึ่งมีมูลค่าเพียง 500-800 ล้านบาท อันเป็นสินทรัพย์ที่ยังเหลืออยู่ และพอจะจับต้องได้เพียงอย่างเดียวของ JKN ซึ่งในตอนนี้มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับกรณีของ STARK ซึ่งเหลือโรงงานทำสายไฟฟ้าเฟ้ลปส์ ดอด์จ (Phelps Dodge) เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้เพียงอย่างเดียวในวันที่ผิดนัดหุ้นกู้เช่นเดียวกัน
กรณีหากมีการตรวจพบว่า “สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน” ของ JKN กลับกลายเป็นว่ามูลค่าที่ “ตราไว้” กลับไม่ตรงตามความเป็นจริง ก็มีความเป็นไปได้ที่ JKN อาจจะเดินตามรอยของ STARK ไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็อาจจะถึงขั้นที่ราคาหุ้นของ JKN ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP (Trading Suspension) แบบที่เคยเกิดขึ้นกับ STARK ก็เป็นได้
เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์ยังมองว่า ข่าวร้ายของ JKN น่าจะยังไม่จบ เพราะไม่ว่าจะเป็นงบการเงินประจำไตรมาส 3/66 ที่ยังไม่ประกาศ การที่ศาลล้มละลายกลางยังไม่เริ่มการไต่สวน และยังไม่มีคำตัดสินว่า จะให้ JKN เป็นผู้จัดการแผนฟื้นฟูแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ รวมทั้งยังไม่มีการขุดคุ้ยกันอย่างจริงจังว่า สินทรัพย์ที่อ้างว่ามีอยู่ถึง 1.2 หมื่นล้านบาท ที่เหมารวมทั้งสินทรัพย์ทั้งที่มีและไม่มีตัวตน รวมถึงลูกหนี้ทางการค้า และอื่นๆ ของ JKN นั่นมีอยู่จริงหรือไม่
หากมี...มีจริงอยู่ที่เท่าไหร่ รวมไปถึงโอกาสที่ “ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ” อาจเป็นเพียงแค่การซื้อเวลาออกไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายหนี้เท่านั้นก็เป็นได้
ดังนั้น การที่ราคาหุ้นของ JKN ที่ถูกลากกลับขึ้นมา “เล่นรอบ” หลังจากที่ลงไปแตะฟลอร์ 4 ที่ราคา 0.26 บาท ในแบบที่เกิดขึ้นนี้ ก็อาจเป็นเพียงแค่อาการ “ชักกระตุก” ก่อนที่ข่าวร้ายของจริงจะมาถึง คราวนี้ก็เป็นไปได้ว่า JKN อาจซ้ำรอย STARK ก็เป็นไปได้...เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้เองเจ้าค่ะ