เอาตัวรอดจากโควิด

02 ส.ค. 2564 | 04:45 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ส.ค. 2564 | 18:16 น.

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ( Value Investor ) ชั้นแนวหน้า

ช่วงเวลานี้สิ่งที่ผมกลัวหรือกังวลที่สุดก็คือการ “ติดโควิด”  เพราะถ้าติดเชื้อนี้  นอกจากจะเป็นอันตรายต่อตัวเองแล้ว  คนรอบข้างในครอบครัวหลาย ๆ คนรวมถึงคนสูงอายุและเด็กเล็กก็มีโอกาสติดต่อกันค่อนข้างสูง  คงจะโกลาหลกันสุด ๆ  เริ่มตั้งแต่การหาห้องพักรักษาตัวเช่น  “ฮอสพิเทล” หรือโรงพยาบาลซึ่งหายากขึ้นทุกวัน  และถ้าเป็นหนัก  เชื้อลงปอดจะเป็นอย่างไร 

ถึงแม้ว่าผู้ใหญ่ในบ้านจะได้ฉีดวัคซีนครบกันทุกคนแล้วแต่ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่  เพราะโรคนี้ไม่มีอะไรป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเฉพาะจากวัคซีนที่มีประสิทธิภาพไม่สูงอย่างที่ใช้กันในประเทศไทยในขณะนี้  และนี่ยังไม่พูดถึงเด็กเล็กที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้และยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  พวกเขาจะอยู่กันอย่างไร?  การป้องกันและแก้ไขหรือลดโอกาสที่จะติดโรคและการเจ็บหนักจะทำอย่างไร?   ต่อไปนี้ก็คือการวิเคราะห์ประเมินความเสี่ยง  การลดความเสี่ยงและการป้องกันตัวของผมและน่าจะของทุกคนด้วย

เริ่มจากการประเมินความเสี่ยงของแต่ละคนก่อน  ผมคิดว่าแต่ละคนมีความเสี่ยงที่จะติดโรคและมีอาการหนักจนอาจจะถึงตายไม่เท่ากัน  โดยคร่าว ๆ  น่าจะแบ่งคนออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ  

1.) อายุ  คนสูงอายุโดยเฉพาะตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปนั้นจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนหนุ่มสาวมาก  เหตุผลก็เพราะว่าถ้าติดโควิดจะมีโอกาสที่จะเกิดอาการรุนแรงขนาดถึงตายได้สูงกว่ากลุ่มอื่นมาก  หรือถ้าไม่ตาย  ร่างกายโดยเฉพาะปอดก็อาจจะเสียหายอย่าง “ถาวร” ซึ่งทำให้การใช้ชีวิตต่อไปยากลำบากขึ้นมาก  ดังนั้น  คนสูงอายุก็จะต้องระวังและป้องกันตัวเองมากเป็นพิเศษ

2) โรคประจำตัว  ต่อเนื่องจากข้อแรกก็คือคนที่มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะเรื่องของเบาหวาน  ความดันเลือดสูง  และน้ำหนักตัวเกินมาก ๆ  โอกาสที่เมื่อติดโรคแล้วจะมีอาการหนักก็สูงและยิ่งถ้าเป็นคนสูงอายุด้วย  ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ  ดังนั้น  จะต้องระมัดระวังและป้องกันตัวอย่างสุดยอด พลาดทีเดียวอาจจะเป็น  “หายนะ” ได้

3) อาชีพ  คนแต่แต่ละอาชีพมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน  อาชีพที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับคนจำนวนมากและอยู่ในห้องปิดก็มักจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่น  ลองจัดกลุ่มดูผมคิดว่า 

1. คนทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้คนมากโดยเฉพาะที่อยู่ในห้องแอร์  น่าจะมีความเสี่ยงสูงมาก  เพราะโอกาสที่จะมีคนเป็นโควิดและแพร่เชื้อต่อให้ทุกคนจะมีสูงมาก  2. แคมป์ก่อสร้างหรือสถานที่คล้าย ๆ  กันที่คนจะอยู่กันอย่างแออัดและมีการพูดคุยและกินอาหารร่วมกันจะมีโอกาสติดเชื้อสูง  3. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสถานพยาบาลที่ต้องพบเจอกับคนที่เป็นโรคหรือคนที่อาจจะติดเชื้อเป็นประจำหรือที่เรียกว่าเป็น  “แนวหน้า” ในการต่อสู้กับโควิด  4. ดารานักแสดง พิธีกร และนักจัดรายการที่ต้องพบปะและร่วมแสดงกับคนอื่นมากหน้าหลายตาและโดยเฉพาะที่ไม่สามารถปิดหน้าป้องกันตัวได้  และสุดท้าย 5.  ก็คือคนที่ทำงานอยู่ในสำนักงานที่มีคนมาก  ทั้งหมดนั้น  มีโอกาสที่จะลดความเสี่ยงลงได้โดยการ “ทำงานที่บ้าน” ถ้าทำได้

4) การอยู่ร่วมกับคนอื่นในบ้านเดียวกัน  นี่เป็นความเสี่ยงที่สูงมากที่คนอาจจะไม่ตระหนัก  เหตุผลเพราะว่าคนที่อยู่ในบ้านเดียวกันมักจะเป็นคนในครอบครัวเช่น  เป็นปู่ ย่า ตา  ยาย  เป็นพ่อแม่  เป็นลูก  เป็นหลาน  เป็นพี่น้องหรือเป็นลูกจ้างที่เป็นคนขับรถหรือแม่บ้าน   ดังนั้น  การที่จะต้อง “ใส่หน้ากากเข้าหากัน” จึงเป็นไปไม่ได้  ดังนั้น  เมื่อมีคนหนึ่งคนใดติดโควิดจากภายนอกบ้านโดยไม่รู้ตัว  ก็มีโอกาสสูงที่คนอื่นทั้งหมดอาจจะติดโรคไปด้วย  ผลก็คือ  ความเสี่ยงของการติดโรคก็จะสูงขึ้นเป็นหลายเท่าตัวตามจำนวนคนที่อยู่ด้วยกัน  และนี่ก็กำลังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมากจนน่าตกใจโดยเฉพาะในคนสูงอายุที่มักจะอยู่แต่ในบ้านแต่ติดโรคจากคนอื่นที่อยู่ร่วมกัน

5) ตำแหน่งที่อยู่อาศัย  นี่ก็มีผลที่จะทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือลดลง   การอยู่และทำงานในจังหวัดหรือย่านที่มีคนติดเชื้อกันมาก  โอกาสที่เราจะติดเชื้อก็สูงขึ้นตาม  แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่แก้ไขยากโดยเฉพาะถ้าไม่ได้มีเงินมากพอที่จะย้ายไปอยู่ในที่หรือจังหวัดที่ปลอดภัยกว่าและสามารถที่จะใช้ชีวิตหรือทำงานได้ตามปกติผ่านระบบสื่อสารสมัยใหม่

ทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องของความเสี่ยงที่จะติดเชื้อและความรุนแรงของอาการที่ต้องประเมินตัวเองว่าเราอยู่ในระดับไหนและจะสามารลดความเสี่ยงนั้นได้หรือไม่  ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ลดไม่ค่อยได้  หรือถ้าทำก็มี “ต้นทุน” ที่สูงเกินไป  อย่างไรก็ตาม  เรามีวิธีป้องกันตัวซึ่งจะทำให้โอกาสที่จะติดเชื้อน้อยลง  หรือถ้าติดก็น่าจะมีโอกาสที่จะเกิดอาการรุนแรงลดน้อยลง  และนั่นก็คือการป้องกันตัวจากโควิด

การป้องกันตัวที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดก็คือ

1) การฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด  และเนื่องจากการระบาดในระลอกนี้มีการแพร่กระจายไปเร็วมากเพราะเป็นสายพันธุ์เดลต้าซึ่งสามารถกระจายไปในอากาศได้นาน   ประกอบกับมีคนที่ติดและไม่ได้แสดงอาการจำนวนมาก  ดังนั้น  ถ้ายังไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มแรก  เราจำเป็นที่จะต้องหาทางฉีดอย่างเร่งด่วน  และแม้ว่าจะเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพไม่สูงแต่ก็น่าจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงได้  ส่วนคนที่ฉีดเข็มแรกไปแล้ว  การฉีดเข็มสองหรือเข็มสามอย่างเร็วที่สุดก็เป็นเรื่องที่ดีและผมคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นวัคซีนตัวเดิม  การฉีดวัคซีนที่มี “ประสิทธิภาพสูงกว่า” จากการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์   น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

2) การทำ Social Distancing หรืออยู่ห่างจากคนอื่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้  โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน  ว่าที่จริงในช่วงเวลาแบบนี้  ถ้าเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง  ก็ยิ่งต้องระวังมากเป็นพิเศษ  ผมเองในฐานะของคนที่อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง  ในช่วงนี้ก็แทบจะไม่ออกนอกบ้านเลยถ้าไม่จำเป็น  และถ้าจะจับอะไรที่ผ่านมือคนอื่นนอกบ้านมาก็จะต้องฉีดแอลกอฮอล์ทุกครั้ง  การล้างมือก็ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ  โชคยังดีที่ปัจจุบันนั้น  ระบบสั่งซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ตมีประสิทธิภาพมาก  ทำให้เราสามารถซื้อของได้เกือบทุกอย่างหรือทำกิจกรรมสารพัดได้โดยไม่ต้องออกจากบ้านไปไหน  ผมเองนึกภาพไม่ออกว่าถ้าโรคโควิดเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน  ที่ระบบการซื้อของ  บริการออนไลน์และระบบ “การทำงานที่บ้าน” ผ่านระบบการสื่อสาร  ยังไม่พัฒนา  โลกจะปั่นป่วนมากกว่านี้แค่ไหน

3) การออกกำลังกาย  นี่เป็นเรื่องที่ผมคิดและเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งในการ  “ต่อสู้กับโควิด”  เพราะในยามนี้  นอกจากการพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ติดโควิด  หรือถ้าติดก็ไม่รุนแรง  ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญมากที่สุดแล้ว  เรายังต้องพยายามหลีกเลี่ยง “ความโศกเศร้าและความหดหู่” ที่โควิดก่อให้เกิดขึ้นกับตัวเราและสังคมซึ่งก็กระทบกลับมาที่ตัวเราด้วย   การที่คนมีรายได้น้อยลงและไม่สามารถที่จะใช้ชีวิต “ปกติ” ตามสัญชาติญาณของมนุษย์ที่เป็น “สัตว์สังคม” ย่อมก่อให้เกิดความเครียดและความหดหู่ซึ่งจะทำให้ร่างกายเราอ่อนแอลงและมีโอกาสที่จะเป็นโรคทั้งจากภายนอกเช่น  จากเชื้อโรครวมถึงโควิด  และจาก “ภายใน” เช่นเบาหวานและโรคหัวใจหรือแม้แต่ “โรคอ้วน” ซึ่งวิธีที่เราจะป้องกันได้ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ   และ “เครื่องมือ” ที่สำคัญที่สุดในยุคโควิดรุนแรงขนาดที่ต้องปิดสวนสาธารณะก็คือ  “ลู่วิ่งไฟฟ้า” ซึ่งผมต้องใช้ทุกวัน  และมัน “ช่วยชีวิตผม”  ได้มาก

แม้ว่าเราจะประเมินความเสี่ยงของตนเองทั้งหมดแล้วและพยายามลดความเสี่ยงเท่าที่ทำได้  และพยายามป้องกันตัวเองทุกทางตามที่กล่าวมาทั้งหมด  ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรอดจากโควิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์  เรายังมีความเสี่ยงอยู่และน่าจะเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญและไม่สามารถที่จะพลาดได้  นอกจากนั้น  ถ้าเกิดขึ้นก็จะต้องไม่กลายเป็นหายนะ  ถ้าจะให้พูดชัดเจนก็คือ  ต้องป้องกันตัวเองและคนใกล้ชิดไม่ให้ติดโควิด  และถ้าเป็นก็ไม่ได้รุนแรงมากจนสาหัสหรือตาย  

นี่ก็คงคล้าย ๆ  กับการลงทุนที่ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์  โอกาสขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้นได้เสมอ  แต่ถ้าเกิดขึ้นก็ต้องไม่ถึงขั้นหมดตัวเป็น  “หายนะ”  และเมื่อเราทำเต็มที่แล้ว  ก็อย่าไปคิดกังวล  อย่างมากก็แค่ “สวดมนต์” เป็นระยะ