ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ 20 ธ.ค.67 ปิดตลาดที่ระดับ 1,365.07 จุด ลดลง 12.46 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.90% ระหว่างวันดัชนีดีดตัวขึ้นทำจุดสูงสุดอยู่ที่ระดับ 1,379.91 จุด และย่อตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,361.34 จุด โดยใมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 60,033.65 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า จากการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ 20 ธ.ค. 67 นั้น มองว่าเดิมทีตลาดหุ้นไทยเองพื้นฐานก็ค่อนข้างมีความเปราะบางอยู่แล้ว ยิ่งมีผลที่เข้ามากระทบต่อความเชื่อมั่นมาสะกิด ดังนั้นจึงเห็นแรงขายตลอดทั้งวันนี้และหลุดแนวรับสำคัญ 1,370 จุด มาได้
นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยเชิงลบในหุ้นรายตัวโดยเฉพาะวันนี้ TOP ที่ถูกขายออกเพราะมีประเด็นความกังวลต่อการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP อีกกว่า 6.3 หมื่นล้านบาท เพื่อสานต่อให้งานก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาดให้แล้วเสร็จ หลังจากที่ล่าช้าเพราะด้วยสถานการณ์โควิด-19 ระบาด
ในวันนี้ราคาหุ้น TOP ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 27.25 บาท ลดลง 7.75 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 22.14% จากราคาปิดตลาดวันก่อนหน้า มีมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 3,219.86 ล้านบาท ซึ่งเป็นแรงกดดัชนีตลาดหุ้นไทยสำคัญในวันนี้ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนดัชนีกว่า 1 จุด ขณะที่หมวดอุตสาหกรรมอื่นๆ หุ้นรายตัวมีการกระจายปรับตัวลดลง
ประกอบกับปัจจัยต่างประเทศ หลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) บ่งชี้ว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 68 เพียงแค่ 2 ครั้ง จากเดิมที่ตลาดคาดการณ์ราว 3 ครั้ง ส่งให้ผลค่าเงินบาทอ่อนค่า ฉุด Fund Flow นักลงทุนต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังดูเปราะบาง
ทั้งนี้ มองว่าในระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนตลาด ทำให้บรรยากาศการซื้อขายเป็นไปอย่างซึมตัวลง ดังนั้นในระยะนี้กลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้นรายตัวโดยเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการมีการเติบโตที่ดี หุ้นที่มีปันผลสูง เช่น กลุ่มแบงก์ TISCO BBL TTB และกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการเข้าไฮซีซันการจับจ่ายใช้สอย อาทิ PLANB MAJOR และ CRC เป็นต้น
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น ประเมินกรอบแนวรับอยู่ที่ระดับ 1,350 จุด และกรอบแนวต้านที่ระดับ 1,370 จุด อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยไว้ที่ระดับ 1,510 จุด ยังไม่มีการปรับประมาณการใหม่ เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงสิ้นปีมาแล้ว อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นไปแตะที่ระดับแนวต้านดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยใหม่ๆ ที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยหนุนตลาดในช่วงปลายปีนี้ เช่น มาตรการ “Easy E-Receipt” กระตุ้นการบริโภคในประเทศ ที่จะชงเข้า ครม. วันที่ 24 ธ.ค.67 นี้