JTS โดนเหมืองบิทคอยน์ทำพิษ

09 ส.ค. 2565 | 21:00 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** เจ๊เมาธ์เคยบอกไปว่าการทำเหมืองขุดบิทคอยน์ เป็นธุรกิจที่ยิ่งทำยิ่งขาดทุน ไม่ต้องพูดถึงหุ้นตัวอื่น...วันนี้เจ๊เมาธ์อยากยกเอากรณีของ JTS มาเป็นตัวอย่างให้ได้เห็นกันชัดๆ เพราะถึงแม้ในไตรมาสที่ 2/65 บริษัทแห่งนี้จะกำไรออกมาถึง 34.7 ล้านบาท ดันให้มีกำไรสะสม 6 เดือน ของปี 65 สูงถึง 131 ล้านบาท แต่เมื่อเข้าไปดูในเนื้อในกลับพบว่า ในความเป็นจริงแล้ว JTS มีรายได้จากดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/65 สูงถึง 536.75 ล้านบาท โดยมีรายได้จากเหรียญบิทคอยน์ ที่ขุดได้จำนวน 22.23 เหรียญ คิดเป็นเงิน 23.46 ล้านบาท 


ขณะที่มีต้นทุนในการดำเนินธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์สูงถึง 428.07 ล้านบาท เมื่อหักลบกลบหนี้ก็พบว่า JTS ขาดทุนจากธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ถึง 404.61 ล้านบาท คิดเป็น 75% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาสที่ 2/65 ทั้งไตรมาสเลยทีเดียว ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งยืนยันในสิ่งที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปแล้วว่า “บิทคอยน์ยิ่งขุดยิ่งขาดทุน” ยิ่งขาดทุนนั่นเอง เพราะขนาดบริษัทที่มีรายได้สูงอย่าง JTS ยังถูกดูดกำไรจากการทำงานให้หายไปได้ขนาดนี้ แล้วบริษัทที่ทำเหมืองขุดบิทคอยน์รายอื่น จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ลองไปคิดดูกันเอาเองค่ะ

*** มีหลังไมค์มาถามเจ๊เมาธ์ว่า TLI จะก้าวข้ามราคาจองซื้อได้เมื่อไหร่ (ราคาไอพีโอ=16.00 บาท) งานนี้เจ๊เมาธ์บอกเลยว่า ขนาดมีหุ้นกรีนชูจำนวนถึง 161 ล้านหุ้นมารองรับเอาไว้แล้ว ยังไม่ไปไหนได้ขนาดนี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องยากที่ราคาหุ้นของ TLI จะสามารถก้าวข้ามราคา 16.00 บาทได้ในเวลาอันใกล้นี้เป็นเรื่องแรก 


ส่วนเรื่องที่สองคือ ตามสถิติของบริษัทที่เข้าตลาดโดยมีหุ้นกรีนชูรองรับเอาไว้แล้ว ราคาหุ้นต่ำจองในช่วงเริ่มต้นพบว่า ไม่มีบริษัทใดสามารถดันราคาหุ้นข้ามราคาจองซื้อได้ในเดือนแรกเลยสักบริษัท 

ส่วนเรื่องสุดท้าย ก็เป็นเรื่องรูปแบบการลงทุนของนักลงทุนที่เปลี่ยนจากการลงทุนระยะยาว มาเป็นการเล่นสั้น โดยที่ไม่ต้องแช่เงินให้จมอยู่ในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนั่นเอง นี่ยังไม่รวมไปถึงการที่มีนักลงทุนจำนวนมาก ที่พร้อมจะขายหุ้นทั้งเพื่อลดการขาดทุนในกรณีที่มีต้นทุนสูง และขายทำกำไรระยะสั้น ในกรณีต้นทุนต่ำหลังจากที่ราคาหุ้นของ TLI ปรับราคาขึ้นนั่นเอง ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงยังไม่เห็นว่า TLI จะก้าวข้ามราคาจองในระยะเวลาอันใกล้นี้เลย

 

 

*** แม้ว่าค่าเงินบาทจะเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างแล้ว แต่กระแสดอกเบี้ยขาขึ้นที่หลายสำนักมองว่ารอบนี้ กนง.น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายขึ้นราว 0.25% ก็ส่งผลให้ราคาหุ้นธนาคารใหญ่อย่าง KBANK BBL SCB KTB และ TTB ค่อยๆ ขยับราคาขึ้นมาอย่างน่าสนใจ ก็อย่างที่รับรู้กันไปอยู่แล้วว่า หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายก็ไม่พลาดที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของตนตามขึ้นมาทันที ซึ่งนั่นก็หมายความว่า รายได้ที่มาจากดอกเบี้ยของธนาคาร ก็จะปรับตามขึ้นมาด้วยทันทีเช่นกัน ซึ่งเชื่อได้เลยว่าถ้าหาก กนง. มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นมาจริง รายได้ของธนาคารทั้งหลายโดยเฉพาะธนาคารใหญ่ อย่าง KBANK BBL SCB KTB และ TTB ก็จะเพิ่มขึ้นมาจริง...และในที่สุดราคาหุ้นธนาคารแบบที่เราเห็นอยู่ในต้องนี้ก็จะไม่ได้เห็นอีกแล้วจริงเช่นกันค่ะ 

 


*** เจ๊เมาธ์มองว่าแม้ราคาหุ้นของ DELTA จะถูกดันขึ้นมาแรงโดยมีเรื่องของผลการดำเนินงานที่ดีออกมารองรับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นของ DELTA จะกลับไปซิ่งแรงแบบที่เคยเป็นเช่นในตอนปี 2564 นั่นก็เป็นเพราะว่า ด้วยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในปัจจุบันนี้ ทำให้การเคลื่อนที่ของราคาหุ้นเป็นไปตามการเก็งกำไรตามปกติ ต่างกับในปี 2564 ที่หุ้นตัวนี้เคยถูกไล่ราคาขึ้นมาด้วยการคาดเดาไปด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลการดำเนินงาน การเข้าซื้อขายในดัชนีหลักอย่าง SET50, SET100 รวมไปถึงการคาดเดาว่าจะมีการแตกพาร์ไปโน้นเลย ดังนั้นเมื่อ DELTA กลับมากลายเป็นหุ้นที่เคลื่อนที่ในแบบที่คาดเดาได้ และไม่มีลุ้นแบบนี้กลายเป็นหุ้นที่ขาดสีสันแบบนี้นักลงทุนหลายคนชอบ

 
ดังนั้น ถ้าใครหวังว่ารอบนี้ DELTA จะซิ่งแบบที่เคยเป็นก็อาจจะหวัง...ครั้งนี้น่าจะไม่เหมือนเดิมต่อไปอีกแล้วค่ะ


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,808 วันที่ 11 - 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565