*** แม้ว่ากำไรไตรมาส 2/65 ของบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (TLI) ที่ได้จดทะเบียนและเริ่มต้นซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหุ้นไทยไป เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 จะออกมาที่ 2,018 ล้านบาท ถือว่าต่ำกว่าไตรมาส 1/65 ลงมาถึง 85% แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หุ้น TLI ภายใต้การบริหารของตระกูลไชยวรรณ กำลังจะแย่ลง เมื่อดูลึกลงไปในงบการเงินแล้ว พบว่า ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้บริษัทฯ มีรายได้จากเบี้ยประกันใหม่ (ปีแรก) และเบี้ยประกันแบบจ่ายครั้งเดียวเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่ช่วงไฮซีซั่นของบริษัทประกันภัยแทบทุกแห่งก็มักจะอยู่ในช่วงไตรมาสแรกของทุกปีอยู่แล้ว
ดังนั้น การที่ผลงานของไตรมาสที่ 2 จะแย่กว่าไตรมาสที่ 1 อยู่บ้างจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นไปได้ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3-4 ก็อาจจะไม่ดีไปกว่าผลงานในไตรมาสแรกของปีได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การคาดเดาทิศทางของผลการดำเนินงานล่วงหน้าได้เช่นนี้ กลับไม่เป็นผลดีต่อราคาหุ้นอย่างที่ควรจะเป็น อย่างแรก คือ นักลงทุนยังไม่สนใจหุ้นตัวนั้น ๆ ตราบเท่าที่ยังไม่ถึงจุดพีคสุดของรายได้ อย่างที่สอง คือ หุ้นที่คาดเดาล่วงหน้าได้เช่นนี้ไม่มีเสน่ห์ เพราะไม่มีอะไรให้ลุ้นตามวิสัยปกติของนักลงทุนไทย
ดังนั้น การที่จะคาดหวังว่า ราคาหุ้นของ TLI จะไปได้แรงและไปได้ไกลกว่าราคาไอพีโอ (16 บาท) จึงดูเหมือนอาจจะช้าขึ้นไปมากกว่าที่ควรจะเป็นได้ด้วยเช่นกัน
*** การเพิ่มทุนของ MAKRO ราคา 43.50 บาท ทำให้มีนักลงทุนแนว “วีไอ” เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปว่า “หุ้นเจ้าสัว” เป็นหุ้นที่ “เล่นยาก” ดูจะไม่ผิดไปจากความเป็นจริง นั่นก็คือ มีหุ้นจำนวนมาก ราคาแพง ปันผลน้อย ขยับช้า
ล่าสุด การขยายความเรื่องผลงานไตรมาส 2/65 ที่บอกว่ามีรายได้ 118,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115% และมีกำไรสุทธิ 1,573 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ก็ดูจะเป็นแค่การพูดเพียงครึ่งเดียว…
เหตุเพราะไม่บอกว่า รายได้ที่โตขึ้นนั้นมาจาการดึงเอา Tesco รวมเข้ามาอยู่ใน MAKRO ด้วยการเพิ่มทุนเป็นหุ้นจดทะเบียนจำนวนมากกว่า 1 หมื่นล้านหุ้น จนทำให้ MAKRO มีหนี้สินเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้กำไรต่อหุ้นและสัดส่วนหรือความสามารถในการทำกำไรของ MAKRO ลดลงไปกว่า 60% เลยทีเดียว
เจ๊เมาธ์ จึงยืนยันคำเดิมว่า ใครจะชอบก็ว่ากันไปตามสะดวกนะคะ สำหรับเจ๊เมาธ์...เจ๊มองว่า ราคาตอนนี้ยังไม่เหมาะ อยากจะขอรอให้ราคาต่ำลงกว่านี้อีกหน่อยนะเจ้าค่ะ
*** ถึงแม้เจ๊เมาธ์จะคิดว่า การควบรวมกันระหว่าง TRUE และ DTAC จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ว่า “โรคเลื่อน” ที่มาจากประเด็นความกังวลในปัญหาการควบรวมที่ต้องตีความในเรื่อง “การเกิดอำนาจเหนือตลาด” จนอาจส่งผลกับผู้บริโภคเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้ กสทช. ที่แม้จะมีอำนาจเต็มก็ยังต้อง “เสียวสันหลัง” จนต้องคิดให้รอบคอบว่า ถ้าปล่อยไปแล้ว จะไม่กลับมาสร้างปัญหาจนโยงกลับมามัดตัวของกรรมการ กสทช. ได้ในภายหลัง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมการควบรวมที่ว่านี้ จึงไม่จบเรื่องซักที...
หากจะสรุปให้ทั้ง TRUE และ DTAC รวมกันได้ก็น่าจะต้องมีกติกาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกมาก จนอาจส่งผลโดยตรงกับกิจการและราคาหุ้นของทั้ง 2 บริษัทในอนาคต ดังนั้นเจ๊เมาธ์ จึงยังขอย้ำว่า ถ้านักลงทุนหวังจะกิน “คำใหญ่” ก็อาจจะต้องใช้เวลานานมากกว่าที่คิดนะคะ แต่ถ้าเล่นรอบ..เล่นเก็งกำไรก็น่าจะพอได้เจ้าค่ะ
*** แม้ว่าบริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT) จะขาดทุนมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ แต่ถ้ามองเรื่องการซื้อหลุมหลบภัยเจ๊เมาธ์ก็ยังคงมองว่า AOT ทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าหุ้นใหญ่หลายๆ ตัวมากเลยทีเดียว
แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนว่า การที่ทาง AOT ยังคงอุ้มคู่ค้าเอาไว้ด้วยการขยายเวลาการเริ่มต้นจัดเก็บรายได้ โดยเฉพาะกับกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty-Free) และพื้นที่ค้าปลีกที่ได้มอบให้กับ King Power Group ซึ่งจะเริ่มเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร ในวันที่ 1 เมษายน 2566 (ขยายระยะเวลาจากเดิมที่จะเริ่มเก็บวันที่ 1 เมษายน 2565) จะทำให้ AOT ยังจะต้องเหนื่อยไปถึงปีหน้าโน้นเลย...
ดังนั้น ถ้าหากนักลงทุนคิดว่า นาทีนี้หลุมหลบภัยยังมีความจำเป็นแบบที่ไม่คาดหวังเรื่องการเติบโต ก็เลือกลงทุน AOT เป็นหลักก็ดีเหมือนกันนะคะ แต่ถ้าหวังจะซื้ออนาคต...เจ๊เมาธ์กลับมองว่า AOT น่าจะไม่เหมาะกับเวลานี้แล้วเจ้าค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,810 วันที่ 18 - 20 สิงหาคม พ.ศ. 2565