หุ้น MORE…มอร์ม้อ หุ้นโหดแห่งปี

10 พ.ย. 2565 | 20:00 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** เป็นเรื่องปกติที่ร้านอาหารมาแรงแห่งยุคอย่าง “สุกี้ ตี๋น้อย” จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยล่าสุดบอร์ดของ JMART ได้อนุมัติเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นจำนวน 352,941 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 30% จากจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารภายใต้แบรนด์ “สุกี้ ตี๋น้อย”ซึ่งนั่นก็หมายความว่าทั้ง BNN และ JMART มีความเห็นร่วมกันว่ามูลค่าของ “สุกี้ ตี๋น้อย” มีมูลค่าที่สูงถึง 4,000 ล้านบาท 


ประเด็นที่ต้องมีการตั้งคำถาม คือ การลงทุนของ JMART ในครั้งนี้คุ้มค่าหรือไม่และแพงไปหรือเปล่า เนื่องจากในปี 2564 พบว่า BNN มีสาขารวมทั้งหมด 42 สาขา ซึ่งแต่ละสาขามีวงเงินการลงทุนอยู่ที่ราวๆ 15 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ 630 ล้าน หรือ ถ้าจะตีมูลค่าให้ดูโอเวอร์มากกว่าความเป็นจริงโดยใส่ทั้งตัวโรงงาน ศูนย์กระจายสินค้า รวมไปถึงสินทรัพย์อื่นๆ รวมแล้วก็น่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 1,200 ล้านบาท เทียบกับมูลค่าการลงทุนในจำนวนเงิน 1,200 ล้าน เพื่อให้ได้หุ้นจำนวน 30% ที่ทาง JMART จ่ายออกไป คิดง่ายๆ ก็คือทาง JMART ตีมูลค่าของ BNN สูงกว่าสิงที่เป็นอยู่ในปัจจุบันถึง 3 เท่า ซึ่งดูยังไงก็ถือว่า “แพงมาก”  

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญก็คือเรื่องที่ BNN มีความตั้งใจที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ภายในระยะเวลา 1-2 ปีต่อจากนี้ ดังนั้น เมื่อทาง JMART ได้ตีมูลค่าของ BNN เอาไว้ถึง 4,000 ล้านบาท ก่อนที่จะได้เข้าไประดมทุนจริงๆ จะทำให้มีการตีมูลค่าของ BNN ให้สูงขึ้นไปมากกว่านี้มากหลังการระดมทุน ซึ่งนั้นก็หมายถึงหุ้น 30% ที่อยู่กับ JMART ก็จะมีมูลค่าที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกันนั่นเอง
     

*** การเพิ่มทุนด้วยการออกวอแรนท์เป็นอีกหนึ่งเกมหุ้น ที่นักลงทุนจะต้องระวังและทำความเข้าใจให้มาก โดยเฉพาะสำหรับหุ้นบางตัวที่มีประวัติที่ไม่ธรรมดา อาจทำให้นักลงทุนกลายเป็นขนมหวานได้ง่ายๆ ดูอย่างหุ้น MORE เอาไว้เป็นตัวอย่าง เพราะภายหลังจากที่วอแรนท์ MORE-W2 ซึ่งมีราคาใช้สิทธิ์ที่ราคา 2.00 บาท/หุ้น หมดอายุไปด้วยราคาสุดท้ายที่ 0.01 บาท/หุ้น พบว่าในช่วงเวลาที่เปิดให้มีการแปลงสิทธิ์ได้มีความพยายามในการดันราคาหุ้น MORE ขึ้นไปเกือบๆ 3 บาท/หุ้น เพื่อดึงดูดใจให้มีนักลงทุนยอมจ่ายเงิน เพื่อแปลงสิทธิ์วอแรนท์เป็นหุ้นเพิ่มทุน เพราะคาดหวังกำไรจากส่วนต่างที่เพิ่มจากราคา 2.00 บาท ที่จ่ายไป 

แต่ท้ายที่สุดเมื่อจบช่วงเวลาการแปลงสิทธิ์กลับกลายเป็นว่าราคาหุ้นของ MORE ปรับราคาร่วงลงมาต่ำกว่า 2.00 บาท โดยที่ไม่มีใครดูแลเหมือนตอนที่ต้องการดึงดูดเงินเพิ่มทุนเลย ทำให้นักลงทุนที่จ่ายเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนขาดทุนทันทีตั้งแต่หุ้นเพิ่มทุนยังไม่เข้าตลาดฯ ขณะที่บริษัทก็ได้เงินเพิ่มทุนเข้ามาโดยที่ไม่ต้องดูแลอะไรเลย เฮ้อ...ที่โบราณท่านว่า “ดูวัวให้ดูหาง..ดูนางให้ดูแม่” มันก็เป็นแบบนี้นี่เอง
     

*** ในที่สุดผลการดำเนินงานของ JTS ก็เป็นไปแบบที่เจ๊เมาธ์คาดไว้ไม่มีผิดเนื่องจากผลงานไตรมาส 3/65 ออกมาไม่ดี มีกำไรเพียง 4.59 ล้านบาท ลดลง 95.54% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรถึง 102.90 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากต้นทุนเหมืองขุดบิทคอยน์จำนวน 162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 


เนื่องจากมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเกิดจากการบันทึกสํารองด้อยค่าสินทรัพย์ในธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ ที่มีจำนวนเครื่องขุดบิทคอยน์เพิ่มขึ้นจาก 110 เครื่องเป็น 2,037 เครื่อง และนี่ก็ยังไม่นับรวมไปถึงว่า ถ้าหากมีการเดินเครื่องขุดเหรียญอาจจะขาดทุนจากค่าไฟฟ้าที่ปรับสูงขึ้น ตามทิศทางราคาพลังงานของโลก ขณะที่ราคาซื้อขายบิทคอยน์ก็ยังเป็นขาลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดปรับราคาลงไปแตะจุดที่ราคาต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี ประมาณว่าขุดได้ก็ไม่คุ้ม 


อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ก็ยังมองว่าธุรกิจหลักของ JTS ยังน่าจะพอไปต่อได้ เพียงแต่ JTS อาจจะต้องตัดส่วนการขาดทุนจากธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ออกไปจากสารบบ แล้วก็เปลี่ยนชื่อใหม่ไม่ให้มีใครจำได้แบบนั้นเลยเจ้าค่ะ
      

*** ไม่แน่ว่าการที่ OR มีผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/65 ซึ่งมีกำไรเพียง 701 ล้านบาท ลดลง 63% ต่ำที่สุดในรอบ 9 ไตรมาส หลังจากที่กำไรขั้นต้นลดลงทุกธุรกิจ จะกลายเป็นจุดต่ำสุดของ OR ไปแล้วเรียบร้อย อย่างหนึ่งคือ ภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจปลายปีไปจนถึงปีหน้า อาจจะทำให้กำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวที่เริ่มกลับเข้ามา ส่งผลให้มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงมากขึ้นจนทำให้ OR สามารถทำกำไรให้ดีขึ้น  


ส่วนอย่างที่สองเป็นเรื่องที่ถึงแม้ว่ากำไร 3/65 จะลดลงมาแต่โดยรวมแล้วในช่วงเวลา 9 เดือนแรก ยังสามารถทำกำไรได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งในมุมมองของเจ๊เมาธ์ เจ๊ยังมองว่า OR ยังเป็นหุ้นที่เก็บได้ในระยะยาวอยู่เช่นเดิม เพียงแต่อาจจะต้องอดทนให้มากกว่าเดิมเท่านั้นเอง


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,835 วันที่ 13 - 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565