*** ผลงานของ TLI ในงวดผลการดำเนินงานปี 65 มีตัวเลขที่ดูเผินๆ แล้วดูดีพอสมควร เพราะถึงแม้รายได้จะลดลงไปบ้างเมื่อเทียบกับปี 64 แต่กำไรที่ออกมาก็ปรับเพิ่มขึ้นมากถึง 10% ก็ทำให้งบการเงินของ TLI ดูดีขึ้นมาทันที อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าไปดูถึงรายละเอียดแหล่งที่มาของเงิน กลับพบว่า รายได้หลักกลับไม่ใช้เงินที่มาจากการดำเนินธุรกิจปกติ แต่เป็นเงินที่ได้มาจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์มูลค่า 13,600 ล้านบาท จากการขายหุ้นไอพีโอจำนวน 850 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท ในราคาขายที่ 16 บาท/หุ้น ทำให้หลังจากที่ส่วนต่างไปแล้วบริษัทมีรายรับเข้ามาถึง 12,489 ล้านบาท ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหาก TLI ไม่เข้าระดมทุนในตลาดฯ ตัวเลขทั้งในส่วนของรายได้ และกำไรอาจจะปลับลงต่ำกว่านี้อีกมาก
ขณะที่กำไรจากดอกเบี้ยและเงินปันผลในปี 65 คิดเป็นเงินเพียง 325 ล้านบาท ทั้งที่ไม่ว่าจะ เฟด หรือ กนง. ต่างก็ปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นไปตั้งหลายรอบ นี่จึงเป็นตัวบ่งชี้ว่าทำไมราคาหุ้นของ TLI จึงยังไม่สามารถก้าวข้ามราคาไอพีโอที่ราคา 16 บาท ขณะเดียวกันก็เป็นการยืนยันว่า ที่บริษัทประกันภัยทั้งหลายพยายามเครมว่า การขยับขึ้นดอกเบี้ยแล้วบริษัทจะมีกำไรแรง มันเป็นการพูดเอาดีเข้าตัว...แต่พูดไม่หมด เป็นการอ้างอิงเพื่อสร้างความหวังและดันราคาหุ้นก็เท่านั้นเอง
*** ผลการดำเนินงานงวดปี 65 ของ ZIGA ออกมาขาดทุนหนักที่สุดตั้งแต่เข้าตลาดฯ กดดันให้ราคาหุ้นของ ZIGA ลงมาอยู่ในระดับราคาต่ำที่สุดในรอบปี แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ ที่มีทั้งต้นทุนในการซื้ออุปกรณ์ ต้นทุนอาคารสถานที่ รวมถึงต้นทุนค่าไฟฟ้าซึ่งกลายเป็นหลุมดำดูดเอาเงินของ ZIGA ออกไปจากระบบ นี่ยังไม่รวมไปถึงดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นทุกวันจากหุ้นกู้ที่เคยขายไป ซึ่งตอนนี้น่าจะกลายเป็นวิญญาณร้ายที่ตามหลอนทั้งผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของ ZIGA มานานมากแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ยังเชื่อว่าผู้บริหารอย่างเสี่ยหนุ่ย “ศุภกิจ งามจิตรเจริญ” น่าจะยังไม่จนแต้มง่ายๆ ไปกับก้าวย่างทางธุรกิจที่เดินผิดไป เพราะถึงตอนนี้เจ๊ได้ข่าวว่า หลังจากปิดท่อรั่วที่เคยดูดเงินออกจากระบบไปแล้ว ก็น่าจะมีการกำลังวางแผน หรือ คิดอะไรอยู่เพื่อแก้มือ อย่าได้ลืมว่าราคาหุ้นของ ZIGA ที่เคยร้อนแรง และสร้างรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำให้กับใครหลายคน น่าจะมีแรงดึงดูดเหลืออยู่ ก็อย่างว่ามดที่ไหนลองถ้าได้ชิมขนมหวานแล้วสักครั้ง มดตัวนั้นมันก็ต้องหาทางกลับมากินขนมชิ้นเดิมนั้นอีกแน่นอน
*** ดูเหมือนราคาหุ้นของ HANA จะวิ่งสวนทางกันกับผลงานปี 65 ที่ทำออกมาได้ดีมาก อย่างหนึ่งก็เป็นเพราะว่าความโดดเด่นของหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายในตลาดหุ้นไทยต่างก็ถูก DELTA ดึงความสนใจออกไปจนแทบจะไม่เหลือ
ขณะเดียวกันก็มีเรื่องที่ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นของ HANA มีการปรับตัวขึ้นมา ต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงการแจ้งผลการดำเนินงานปี 65 ก่อนจะถูกเทขายทำกำไรออกมาในลักษณะของ Sell on Fact แต่อีกประเด็นหนึ่งที่ถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ ข่าวที่ว่าลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลกอย่าง TESLA กำลังจะเปลี่ยนเทคโนโลยีด้วยการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งนี่น่าจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างออกมาแสดงความกังวลว่า ผลการดำเนินงานในอนาคตของ HANA อาจจะเจอกับอุปสรรคที่ยากลำบาก
อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ๊เมาธ์ หุ้นเทคโนโลยีอย่าง HANA ยังถือว่าน่าจะยังพอไปได้ เพียงแต่การเข้าอาจต้องหาจังหวะ ตอนที่ราคาย่อลงจนน่าสนใจมากกว่านี่อีกสักหน่อย หุ้นทรงนี้ยังพอมีจังหวะให้เล่นรอบได้เจ้าค่ะ
*** จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของ BANPU ก็คือ การที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นว่า ราคาหุ้นจะขยับขึ้นไปได้ไกลทั้งที่หุ้นตัวนี้ ก็เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีปันผลที่ดี อย่างหนึ่งก็คือ การที่ BANPU เป็นบริษัทที่มีหุ้นเป็นจำนวนมากในขณะที่อัตราส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) มีสูงถึง 90.17% เป็นเหตุให้ในทุกช่องของการปรับราคาหุ้นขึ้นไป มักจะมีแรงขายเทสวนออกมาอย่างหนักจนไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วย
ส่วนอีกเรื่องก็เป็นประเด็นที่มีธุรกิจหลักที่มาจากการขายถ่านหิน ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นสินค้ากลุ่มพลังงานเก่าที่ภาพลักษณ์ไม่ค่อยดีจนทำให้แม้แต่ BANPU ก็พยายามที่จะไม่พูดถึงธุรกิจหลักตัวนี้ แต่เมื่อธุรกิจถ่านหินสามารถกลับมาทำกำไรได้ ก็เป็นปัญหาว่า BANPU ออกอาการ “น้ำท่วมปาก” ไม่กล้าพูดถึง...จนต้องไปอ้างถึงธุรกิจของบริษัทลูกหรือธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เพื่อให้ไม่ถูกครหา อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ๊เมาธ์ BANPU ยังคงเป็นบริษัทที่จะยังคงมีทั้งรายได้และกำไรไปอีกนาน หรืออย่างน้อยที่สุดก็ลากยาวไปจนกว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครน จะจบโน้นเลย ดังนั้นสำหรับเจ๊...หุ้นตัวนี้ยังน่าสนใจมากเหมือนเดิม
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,868 วันที่ 9 - 11 มีนาคม พ.ศ. 2566