กลุ่ม JMART สนิมเกิดแต่เนื้อในตน...

27 มิ.ย. 2566 | 22:30 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ กลุ่ม JMART สนิมเกิดแต่เนื้อในตน... โดย...เจ๊เมาธ์

*** เจ๊เมาธ์...ไม่กล้าที่จะบอกว่า การที่หุ้นกลุ่มตัว J อันประกอบไปด้วย JMART JMT SINGER SGC และ J ราคาร่วงแรงจนมูลค่าทางการตลาดเมื่อเทียบกับปลายปี 2565 จนถึงปัจจุบันหายไปแล้วร่วม 1 แสนล้านบาทเข้าไปแล้ว จะเดินตามรอยบริษัท STRAK หรือไม่?

แต่เจ๊เมาธ์มองว่า การตกแต่งบัญชีที่เกิดขึ้นของ STARK ได้มีส่วนที่ทำให้นักลงทุน ทั้งที่เป็นนักลงทุนไทย และนักลงทุนต่างชาติเริ่มไม่ไว้ใจ และพากันตั้งคำถามถึงมาตรฐานในการดำเนินงานของผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้เกี่ยวข้องในทางตรง หรือทางอ้อม

ความไม่ไว้ใจที่ว่านี้ได้ขยายตัวลุกลามออกไป จนถึงขั้นที่มีข่าวลือในโลกออนไลน์และข่าวลือต่างๆ ในห้องค้าหลักทรัพย์ฯ ว่า มีหุ้นหลายกลุ่มที่ถูกเพ่งเล็ง จนอาจจะนำมาซึ่งการถูกตรวจสอบการซื้อขาย ซึ่ง 1 ในนั้น ก็มีชื่อของหุ้นกลุ่มตระกูล JMART รวมเข้าไปอยู่ด้วย จนทำให้หุ้นทุกตัวในกลุ่มตระกูล J ปรับราคาลงมาอย่างต่อเนื่อง จากความหวั่นไหวและความไม่ไว้วางใจในกระแสข่าว 

ถึงแม้ว่าข่าวลือที่เกิดขึ้นนี้ อาจจะไม่ได้มีส่วนที่เกี่ยวข้องกันกับหุ้นตระกูล J และเมื่อไม่นานมานี้ JMART ได้มีหนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้แจงว่า การตรวจสอบการซื้อขายของบริษัท ไม่เป็นความจริง แต่ก็ดูเหมือนนักลงทุนจะยังคงกังวลอยู่ หุ้นตระกูล J จึงถูกเทขายออกมาต่อเนื่อง
     
อาจเป็นเพราะการที่ธุรกิจของหุ้นกลุ่มตัว J นี้ ถูกจับไขว้กันไปไขว้กันมา จนดูเหมือนว่า การแตกบริษัทออกไปเป็นหลายบริษัทแบบนี้ ไม่ได้ถูกแยกกันเป็นอิสระอย่างแท้จริง หรือแม้แต่เรื่องอื้อฉาวหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถูกบังคับขาย (force sell) รวมไปถึงเรื่องของเซียนพระและเซียนหุ้น ต่างส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่นักลงทุนเคยมีต่อหุ้นตัว J กันแทบทั้งกลุ่ม ซึ่งสะท้อนได้จากราคา 

ไล่จาก หุ้น JMART ราคาไหลรูดลง -66% หุ้น JMT ร่วงลง -49% หุ้น SINGER ราคาลดลง-69% หุ้น J ลดลง -38% หุ้น SGC ราคาลดลง -69% ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ JMT JMART ถือเป็นบริษัท ที่มีมูลค่ามากสุดติด 50 อันดับในตลาดหุ้นไทย หรือ SET50 แต่พอโดนถล่มขายออกมา จนมูลค่าหายไประดับ 1 แสนล้านบาท ทำให้มีการคาดการณ์ว่าทั้ง JMT JMART อาจจะถูกถอดออกจาก SET50

ดังนั้น การที่ราคาหุ้นตระกูล J ปรับร่วงลงแบบนี้ คงจะไปโทษใครไม่ได้ เพราะทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากตัวเองแทบทั้งสิ้น ประมาณว่า “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” นั่นเอง ขนาด คุณอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ผู้บริหารของบริษัท ยังออกมายอมรับกับสื่อว่าโดน Margin Call  
 
*** น่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่ราคาหุ้นของกลุ่มธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) ไม่ว่าจะเป็น BAM CHAYO ตลอดไปถึง JMT ยังคงปรับตัวลงมาอย่างช้าๆ สาเหตุหนึ่งเนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เริ่มปรับสูงขึ้น เนื่องจากการที่ธนาคารเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้กระทบต่อยอดขาย ขนาด BAM ที่เคยสูงถึง 16 บาท ตอนนี้ลงมายืนที่ระดับ 10.50 บาท/หุ้น และดูเหมือนว่าราคาหุ้นจะปรับลงหนักมากกว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่ม อาจเป็นเพราะว่า BAM เป็นหุ้นที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของทางภาครัฐ โดยกองทุนฟื้นฟูถือหุ้นอยู่ราว 47% แม้ว่าในตอนนี้จะเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาแล้วหลายปี แต่ระบบการบริหารก็ยังไม่แตกต่างไปจากเดิมยังคอนเซอร์เวทีฟ  
     
ขณะที่คู่แข่งในธุรกิจเดียวกันอย่าง JMT และ CHAYO กลับมีความคล่องตัว และมีความสามารถปรับเปลี่ยน และยังสามารถทำกำไรได้ จึงส่งผลให้ราคาหุ้นของทั้ง JMT และ CHAYO สามารถยืนอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งมากกว่า  
      
ขอให้จับตาดูว่า BAM จะยังคงเป็นหุ้นห่านทองคำหรือไม่ พอร์ตสินทรัพย์ที่มีอยู่ราว 2.2 หมื่นล้านบาท จะทำรายได้ทะลุปีละ 2.5-3 พันล้านบาทได้หรือไม่ กำไรที่เคยทำได้ปีละ 800-1,000 ล้านบาท จะสามารถทำได้ต่อเนื่องหรือไม่ 
      
*** เจ๊เมาธ์เคยบอกไปแล้วว่าการที่ “เฮียฮ้อ” สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ และคนในบ้านหลายคนได้เข้าไปซื้อหุ้น GIFT จนทำให้มีสัดส่วนในการถือหุ้นรวมแล้วมากกว่า 60% ตั้งแต่ปลายปี 2565 ตามต่อด้วยการที่มีข่าวดีๆ ตามออกมาจะไม่ช่วยทำให้ธุรกิจของ GIFT สามารถพลิกฟื้นผลการดำเนินงานของบริษัทได้แต่อย่างใด....จนถึงวันนี้ก็คงจะได้เห็นกันแล้วว่า สิ่งที่เจ๊เมาธ์พยากรณ์ไว้ถูกผิดประการใด
      
อย่างไรก็ตาม...การที่เฮียฮ้อได้หุ้นของ GIFT มาในราคาที่ต่ำมากเพียงแค่ 1.65 บาท/หุ้น ก็ทำให้กลุ่มของเฮียมีโอกาสที่จะต่อรองในเกมการเงินได้มาก...ถึงมากที่สุด

นอกจากนี้การที่ GITF มีกลุ่มของเซียนหุ้นในระดับที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง หรือ แม้แต่ บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA ติดอยู่ในโผของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ล้วนแล้วเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นตัวนี้น่าจับตามมองเป็นอย่างยิ่ง เรื่องแบบนี้มันไม่แน่...ใครจะไปรู้ 

ไม่รู้ว่าจะต้องดีใจกับอดีตหุ้นเหมืองขุดคริปโตฯ อย่าง JTS ZIGA MPV ECF หรือ GTV หรือไม่ เพราะการที่ราคาหุ้นกลุ่มนี้เริ่มกลับตัวเป็นบวกขึ้นมา มันก็เท่ากับเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนที่ติดหุ้นอยู่ ได้มีโอกาสที่จะลงจากดอย รวมไปถึงในกรณีที่ราคาซื้อขายคริปโตฯ กลับมาเป็นขาขึ้นอย่างจริงจัง ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้กลับมาซิ่งได้อีกครั้ง  
     
อย่างไรก็ตาม อย่าได้ลืมไปว่า ในตอนนี้หลายบริษัทได้หยุดทำธุรกิจเหมืองขุดคริปโตฯ ไปแล้ว หลายบริษัทก็มีขาดทุนบักโกรก เนื่องจากการทำธุรกิจเหมืองคริปโตฯ ที่ถึงตอนนี้ก็ยังล้างการขาดทุนได้ไม่หมด นี่ยังไม่นับรวมไปถึงการที่ราคาหุ้นในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับราคาหุ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ดังนั้น ถ้าใครจะลงทุนในหุ้นกลุ่มเหมืองขุดคริปโตฯ ก็ต้องดูให้ดีกันอีกสักนิด ไม่ต้องรีบ ...ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องกลับมาเสียใจอีกครั้งก็เป็นได้นะเจ้าค่ะ

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,900 วันที่ 29 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2566